บทความที่ได้รับความนิยม


Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

*** พระพลอยพิฆเนศ ( เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ) ***

*** พระพลอยพิฆเนศ ( เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ) ***

ทำ จากเศษพลอย งานมีลักษระคล้ายๆหินแกะสลัก มี 5 สี คือ 1.แดง 2.เหลือง 3.เขียว 4.น้ำเงิน 5.สีรวม ( ขนาด - สูง 1 นิ้ว ฐานกว้าง 0.5 นิ้ว ) เหมาะสำหรับนำไปเป็นของฝาก ของที่ระลึก ของชำร่วยงานมงคลต่างๆ ซึ่งมีคุณค่า และเป็นมงคล ทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับ

- ราคาส่งองค์ละ 15 บ. ( ซองซิปธรรมดา )
- ราคาส่งองค์ละ 19 บ. ( ซองpvc อย่างดี )
- ราคาส่งองค์ละ 25 บ. ( กล่องขาว 4*4 )
*** ขั้นต่ำการส่ง ขอ 100 องค์ขึ้นไป ***




หมายเหตุ - หรือถ้าต้องการทำตามไอเดียหรือรูปแบบที่ต้องการก็สามารถทำได้ ไปจำหน่ายตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆเป็นของที่ระลึกประจำท้องถิ่น ตลาดน้ำ ตามสถานที่ท่องเที่ยว หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ต่างๆ ค่าแบบไม่แพง สั่งจำนวนมากราคา ถูกลงตามจำนวนครับ


 
 
 
 

     กรุณา! สั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วัน พร้อมแจ้งโอนก่อนการจัดส่งนะค่ะ เพราะว่าเราไม่ได้ทำงานสต็อคเก็บไว้ ทำตามออเดอร์เท่านั้น แต่รับประกันว่างานสวย ยืนยันได้จากผลการตอบรับจากที่ทางเรานำไปขายบนเขาคิชกูฎมาค่ะ / ขอบคุณมากๆค่ะ 

... โอนเงินทางนี้ค่ะ ...
ธนาคาร ไทยพาณิชย์ สาขาโรบินสัน จันทบุรี
ประเภท ออมทรัพย์ เลขบ/ช 8542151129
ชื่อ นางสาว เบญริสา มุกดาสนิท
* โอนแล้วกรุณา!แจ้งด้วย *


=========================

สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ตลอดเวลานะค่ะที่
086-5549338 / 080-0992134 / 039-380591 

e-mail // chainapus@hotmail.com
ชัย & ฐา ( จันทบุรี ) 

 





Read More...


'NC' กระเป๋าหนังรวยดีไซน์ แฮนด์เมดไทยสไตล์อินเตอร์ « SME อาชีพ

กระเป๋าหนังวัวแท้ แบรนด์ “NC” แจ้งเกิดด้วยจุดขายแฮนด์เมดแสนประณีต มาพร้อมกับดีไซน์เลิศหรูเป็นสากล ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป้าหมายอย่างสุภาพสตรีชาวต่างชาติได้อย่างดี เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผู้ประกอบการตัวเล็กๆ ที่สร้างธุรกิจจากสองมือเปล่า จนปัจจุบันมีพื้นที่ยืนในเส้นทางอาชีพของตัวเองได้สำเร็จ

ผู้เบื้องหลังผลงาน คือ “อิทธิเดช ตันบูล” หนุ่มวัย 38 ปี พื้นเพชาวจังหวัดเชียงใหม่ แต่ย้ายเข้ามาทำมาหากินเป็นลูกจ้างร้านทำกระเป๋าหนังแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ตั้งแต่อายุประมาณ 16 ปี

อิทธิเดชใช้เวลากว่า 15 ปีในการเป็นลูกจ้าง เรียนรู้และสะสมประสบการณ์ในวิชาชีพนี้ จนกลายเป็นเดี่ยวมือหนึ่งประจำร้าน สามารถทำเองได้ทุกขั้นตอนตั้งแต่ออกแบบ ซื้อวัตถุดิบ ผลิต จนถึงขาย เมื่ออิ่มตัวในการเป็นลูกจ้าง ตัดสินใจออกมาสร้างธุรกิจผลิตและขายกระเป๋าหนังของตัวเอง เมื่อปีพ.ศ.2545

แม้จะเชี่ยวชาญทำกระเป๋าหนังได้ทุกประเภท แต่สำหรับธุรกิจของตัวเอง เลือกจะเน้นใช้วัตถุดิบ “หนังวัว” เป็นหลัก ด้วยเหตุผล ชอบความสวยงามในลวดลายของหนังวัว อีกทั้ง หนังวัวมีคุณสมบัติเหนียวแน่นแข็งแรงทนทาน อายุใช้งานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ขณะเดียวกันลักษณะหนังจะนิ่ม และเรียบเนียน เหมาะแก่การใช้งานของกระเป๋าหนัง

เนื่องจากวางลูกค้าเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติที่จะชื่นชอบสินค้าแฮนด์เมด ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ ดังนั้น ทำเลที่เลือกเปิดร้าน เจาะจงต้องเป็นย่านนักท่องเที่ยวคึกคัก โดยลงทุนประมาณ 5-6 หมื่นบาท เช่าพื้นที่เปิดร้านเล็กๆ ในซอยรามบุตรี สามารถเดินทะลุไปถนนข้าวสารได้ ซึ่งผลตอบรับดีเกินคาด ทั้งจากลูกค้าซื้อปลีก และออเดอร์ต่างชาติ ช่วยให้คืนทุนและธุรกิจตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว
 








“ผมพยายามสร้างจุดเด่นจากแบบไม่ให้เหมือนใคร ไม่สามารถหาซื้อกระเป๋าแบบนี้ได้ตามท้องตลาดทั่วไป ประกอบกับเลือกใช้หนังวัวเกรดเอ และคุณภาพสินค้าที่ดี ทำให้ลูกค้าที่เคยซื้อไป กลับมาซื้อซ้ำอีก แถมยังช่วยไปบอกต่อด้วย”

เจ้าของสินค้า เล่าต่อว่า สิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถทำกระเป๋าออกมาคุณภาพดี เกิดจากประสบการณ์ที่สะสมมายาวนาน ความรู้เหล่านี้ไม่สามารถถ่ายทอดจากคำพูดได้ จำเป็นต้องอาศัยเวลาค่อยๆ เรียนรู้ ทั้งการเลือกวัตถุดิบ การดีไซน์ให้ถูกใจลูกค้า รวมถึงทำกระเป๋าได้รูปทรงสวยงาม และแข็งแรง

ด้านการผลิตนั้น อิทธิเดชจะเป็นคนไปเลือกซื้อวัตถุดิบหนังวัวด้วยตัวเองถึงแหล่งโรงงานผลิต เพื่อคัดหนังที่ได้คุณภาพและสีสันตามต้องการ โดยใช้หนังวัวแท้ เกรดเอ ราคาซื้อขายกันเฉลี่ยประมาณ เซนติเมตรละ 5-6 บาท ส่วนการผลิตเป็นงานแฮนด์เมด เกือบ100% ยกเว้นการเย็บเท่านั้นที่ใช้จักรอุตสาหกรรม ส่วนแรงงานเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน มีญาติพี่น้อง 3-4 คน ช่วยกันทำ

หลังธุรกิจร้านเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ราวปีพ.ศ. 2550 ได้ขยับขยายร้านให้ใหญ่ขึ้น ลงทุนประมาณ 3 แสนบาท ย้ายมาเปิดร้านบริเวณถนนพระอาทิตย์ ซึ่งอยู่มาถึงปัจจุบัน รวมถึง เพิ่มสาขาที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โครงการ7 ซอย 4 นอกจากนั้น ได้จดเครื่องหมายการค้าในชื่อ “NC” ย่อมาจาก North City หรือเมืองเหนือ สื่อถึงตัวเขาเป็นชาวจังหวัดเชียงใหม่นั่นเอง

อิทธิเดช เผยว่า กลุ่มลูกค้าหลักของร้านกว่า 80% จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก โดยเฉพาะสุภาพสตรี ดังนั้น กระเป๋าส่วนใหญ่จะเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นหลัก โดยออกแบบเป็นกระเป๋าใบใหญ่ ใช้งานได้แทบทุกโอกาส ดีไซน์มีความเป็นสากลสูง ส่วนลูกค้าชาวไทย แทบทุกคนที่เข้าร้านจะชื่นชมในความสวยงาม แต่ติว่าราคาค่อนข้างสูงเกินไป

ทั้งนี้ ราคาขายกระเป๋าหิ้วสตรี เริ่มต้นที่ประมาณใบละ 1 พันบาทถึงสูงสุด 4.5 พันบาท ทั้งหมดมีกระเป๋าให้เลือกกว่าร้อยแบบ นอกจากนั้น เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ยังทำสินค้าเครื่องหนังอื่นๆ ด้วย เช่น กระเป๋าสตางค์ เข็มขัด กระเป๋าใส่โน้ตบุ๊ค รองเท้า พวงกุญแจ ซองใส่โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

ด้านการออกแบบ เจ้าของร้าน เล่าว่า จะพยายามตามติดเทรนด์แฟชั่นของโลกตลอดเวลา ผ่านการดูนิตยสารต่างประเทศแล้วนำมาประยุกต์เป็นสไตล์ของตัวเอง เฉลี่ยแล้วร้านจะเปลี่ยนสินค้าทุกๆ 3 เดือน เพื่อรองรับลูกค้าขาประจำที่จะกลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง

เนื่องจากลูกค้าสำคัญของร้าน คือ นักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประกอบกับความวุ่นวายทางการเมืองของไทย ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวน้อยลง อีกทั้ง พฤติกรรมการซื้อเน้นประหยัดขึ้น กระทบกับธุรกิจของร้านเป็นอย่างมาก ในอดีตยอดขายเฉลี่ยร้อยชิ้นต่อเดือน แต่ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ลดลงเหลือไม่ถึงครึ่งจากเดิม

อย่างไรก็ตาม พยายามปรับตัวโดยลดต้นทุนทุกๆ ด้านให้มากที่สุด เช่น สต๊อกสินค้าเท่าที่จำเป็น รวมถึง นำเศษหนังเหลือทิ้ง มาทำเป็นสินค้าที่ระลึกชิ้นเล็กๆ เช่น พ่วงกุญแจ และที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น เพื่อลดเศษวัตถุดิบเหลือทิ้ง แถมยังช่วยเสริมรายได้อีกทาง

อิทธิเดช ทิ้งท้ายว่า ความฝันสำหรับคนทำธุรกิจเล็กๆ เช่นเขา ขอแค่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก และสินค้าขายได้ดีไปเรื่อยๆ เท่านี้ก็มีความสุขเพียงพอแล้ว







โทร.08-9885-3381 , 08-9207- 1207
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


'ตกแต่งเคสมือถือ' เทรนด์ทำเงินสอดรับยุคสมัย


 


งาน ประดิษฐ์สามารถพลิกแพลงสร้างจุดขายไปได้เรื่อย ๆ หากเจ้าของไอเดียสามารถเข้าใจความต้องการของตลาด และประยุกต์งานประดิษฐ์ให้เข้ากระแสความนิยม ก็สามารถสร้างอาชีพสร้างรายได้ได้อย่างดี เหมือนกับการประดิษฐ์งานผนึกวัสดุ (กระดาษ     ทิซชู) ลงบน “เคสโทรศัพท์มือถือ” นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้ ในยุคนี้...
                 
วิไลพร เอี่ยมวุฒิกร หรือ โอ๋ เจ้าของงานศิลปะแนพกิ้น เดคูเพจ การผนึกกระดาษทิซชูลงบนวัตถุ (napkin decoupage) เล่าถึงที่มาที่ไปของการผนึกวัสดุ (กระดาษทิซชู) ลงบนเค

สโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะเคสไอโฟน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ โดยบอกว่า ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว งานเดคูเพจสามารถทำลงเครื่องจักสานได้  แต่ส่วนตัวมองว่ามันมีอะไรบ้างที่ลงได้อีก และคนใช้เคสโทรศัพท์มือถือทำได้ และมีอย่างอื่นด้วยที่สามารถทำได้ อาทิ กล่องพลาสติก กล่องกระดาษทิซชู  เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบงานกล่องมาก ทำได้หมด แต่เคสโทรศัพท์มือถือปัจจุบันเป็นที่นิยม เป็นแฟชั่น คนเปลี่ยนเคสโทรศัพท์เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย พอทำแล้วได้ผลตอบรับดี ก็จึงทำเป็นอาชีพ และเปิดสอนด้วย







  
อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้เคสโทรศัพท์มือถือสีขาว, กระดาษทรายน้ำ (3 เอ็ม) เบอร์ 400, กาวลาเท็กซ์, พู่กัน, แปรง, กรรไกรเล็ก, ลูกกลิ้ง (หรือขวดแก้วเล็ก ๆ), น้ำยาเคลือบ, ผ้าคอตตอน, กระดาษทิซชู และไดร์เป่าผม (ขนาดเล็ก)
   
วิธีเลือกเคสโทรศัพท์มือถือ วิไลพรบอกว่า ต้องเลือกกรอบให้เลือกแบบเรียบ เพราะถ้าเป็นแบบมีรูมาก ๆ ทำให้พื้นที่ในการยึดติดระหว่างกระดาษทิซชูกับเคสมีน้อย การใช้ระยะยาวไม่น่าจะดี คือร่อนได้ง่าย ส่วนเคสซิลิโคนเวลาแปะกระดาษทิซชูจะร่อนได้ง่าย  เคสพื้นเรียบดีที่สุด มันเงาไม่มาก  เพราะมันเงามากต้องขัดเยอะ เคสนี้ก็หาซื้อได้ตามท้องตลาด ที่เป็นเนื้อพลาสติกราคาก็มีตั้งแต่ 30-1,000 บาท  เน้นสีขาว เพราะไม่ต้องลงสี
           
ส่วนกระดาษทิซชูที่ใช้ เป็นกระดาษทิซชูที่นำเข้าจากต่างประเทศ ขนาดมี 4 ไซซ์นิยม คือ 25x25 ซม., 33x33 ซม.  และ 40x40 ซม.  ราคาแผ่นละ 25 บาท กระดาษทิซชูนี้มี 3 ชั้น แต่ใช้ด้านบนสุดที่มีลายเท่านั้น ส่วนลายยอดนิยมคือ ลายดอกไม้ ลายผลไม้ ลายตุ๊กตา ลายวิว ลายการ์ตูน กระดาษทิซชู 1 แผ่น ทำเคสได้ 4 ชิ้น เพราะกระดาษทิซชู 1 แผ่นมี 4 บล็อก และขนาดที่นิยมคือขนาด 33x33 ซม.


   










วิธีทำ เริ่มที่ใช้กระดาษทรายเบอร์หยาบ เบอร์ 400 ขัดเคสโทรศัพท์รอบ ๆ ให้เป็นรอย  วิธีขัดคือเป็นวงกลม ขัดเพื่อเกิดร่อง เวลาทากาวแล้วกาวจะติดตามร่อง โดยเฉพาะตามมุมต้องขัดให้เยอะ เพราะต้องยึดกาวเยอะ ๆ ขัดเพื่อให้ทากาวติด เพราะโทรศัพท์จะตกบ่อยมาก กระดาษทิซชูจะกะเทาะออกได้ง่าย เพื่อยึดแนพกิ้นให้ติดกับวัสดุ ขัดเสร็จก็ปัดฝุ่นออก จากนั้นทากาวเสร็จแล้วเป่าให้แห้ง แต่ไม่ต้องแห้งสนิท แค่หมาด ๆ เกือบแห้ง  คือกะให้เวลาวางกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์มือถือแล้ว ยังสามารถดึงออกได้โดยที่กระดาษทิซชูไม่ขาด

   
กะขนาดกระดาษทิซชูใหัใหญ่กว่าเคสโทรศัพท์ห่างจากขอบ 1 นิ้ว  เสร็จแล้วลอกกระดาษทิซชู ชั้นที่ 2, 3 ออก ใช้ชั้นบนสุด โดยวางกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์แล้วใช้มือกด และรีดกระดาษทิซชูให้เรียบ เสร็จแล้วตัดมุมเพื่อเข้ามุมให้เรียบ แล้วใช้มือกด  ต่อมาใช้ผ้าคอตตอนที่มีขนาดใหญ่กว่ากระดาษทิซชู นำไปชุบน้ำให้หมาดกึ่งเปียก  แล้วดึงให้ตึง แล้วคลุมไปที่เคสโทรศัพท์เพื่อผนึกให้กระดาษทิซชูกับเคสติดแน่น เสร็จแล้วใช้ขวดกลิ้งบนผ้าจากล่างขึ้นบน (อย่ากลิ้งกลับไปกลับมา) แล้วก็กลิ้งขวาง แล้วก็ใช้ไดร์เป่าให้แห้ง ต่อไปนำผ้าคอตตอนคลุมสันของเคสโทรศัพท์ แล้วใช้นิ้วชี้กลิ้งเพื่อผนึกสันของเคสโทรศัพท์ แล้วใช้ไดร์เป่า เสร็จแล้วทำด้านต่อไป

   
ขั้นตอนถัดมาคือ ตัดกระดาษทรายขนาด 1x1 นิ้ว ใช้กระดาษทรายมาทำการตัดขอบ โดยรูดจากด้านนอกเข้าด้านใน จนกระดาษทิซชูขาดออกจากขอบ จากนั้นใช้น้ำยาเคลือบ 5-6 ชั้น โดยทาแต่ละชั้นเสร็จแล้วต้องเป่าให้แห้ง ขั้นตอนสุดท้ายคือเช็ดทำความสะอาดด้านในที่เปื้อนกาวและน้ำยาเคลือบเป็นอัน เสร็จ ราคาขายต่อชิ้นอยู่ 690-890 บาท ต้นทุนไม่เกิน 500 บาท     
     
สนใจอาชีพ “ตกแต่งเคสมือถือ” ศิลปะการผนึกกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์มือถือ ก็ลองไปฝึกฝนทำกันดู หรือเข้าไปดูเพิ่มเติมใน www.protonza.com หรือถ้าต้องการติดต่อ โอ๋-วิไลพร ก็ติดต่อได้ โทร.08-5123-4780.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล









Read More...


RUBBER KILLER จากยางในถึงกระเป๋าส่งออก

"จากที่ทำสมุดธรรมดา เห็นมียางในรถยนต์เก่าๆ อยู่ เลยลองเอามาทำเป็นสันสมุด ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ต่อมาก็ทำเป็นปกสมุด ให้มันทนทานมากขึ้น พอเริ่มมียางที่กว้านซื้อไว้มากขึ้น ไอเดียเพิ่มขึ้น ก็ลองทำออกมาเป็นกระเป๋า ตอนนี้ใช้ยางในรถบรรทุกล้วนๆ นอกจากจะแปลกใหม่แล้วยังหนา ทนทาน และเหนียวเป็นพิเศษ ผลตอบรับที่ได้ค่อนข้างดี มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาเป็นระยะ ทั้งที่เราไม่มีหน้าร้าน อาศัยขายในเว็บไซต์และเฟซบุ๊ก และคนซื้อบอกต่อ"


ธุรกิจภูธร
กรรณิกา เพชรแก้ว


หลายปีก่อนฉันฟังหนุ่มคนที่เพิ่งกลับจากเรียนปริญญาโทจากอเมริกาคนนี้ เล่าถึงความฝันจะสร้างผลงานที่ช่วยฟื้นฟู-หรืออย่างน้อยทำร้ายน้อยที่ สุด-ต่อสิ่งแวดล้อม จะผลิตสินค้านั่นนี่ ที่ล้วนมีเจตนาจะกระตุ้นให้คนรักธรรมชาติ 
เขาบอกจะเริ่มจากกระดาษที่ทำ จากใบกล้วย เพราะขณะที่กระดาษอาจมาจากเยื่อต้นไม้อื่นใดได้อีกมากนั้น ต้นกล้วยเป็นไม้ล้มลุกที่อาศัยน้ำน้อย ให้ผล และให้ประโยชน์ในทุกส่วน ว่าแล้วเขาเริ่มจริงจัง ปลูกต้นกล้วยในที่ดินเดิมของครอบครัว แล้วเริ่มผลิตสินค้าอย่างสมุดบันทึกจากใบกล้วยในนาม RE Leaf Studio ร่วมกับเพื่อนไม่กี่คน ได้รับความสนใจบ้าง แต่ไม่ถึงกับฮือฮา ฉันว่าเพราะมันยังไม่ "ชัด" พอ สินค้าแนวนี้มีขายมากมายจนยากจะโดดเด่น




คุณสเริงรงค์ วงษ์สวรรค์ มีพื้นฐานเป็นสถาปนิก ทำงานออกแบบมาไม่น้อย งานของเขาเน้นสอดคล้องกับธรรมชาติมากที่สุด อาจเพราะเขาเติบโตในเมืองที่มีธรรมชาติที่เป็นมิตร ฉันจึงไม่แปลกใจกับความมุ่งมั่นต่อมาของเขา

กระเป๋าจากยางในรถยนต์เป็นสินค้าต่อมาของเขาที่ทุกวันนี้ขายดิบขายดี ถูกใจเด็กแนวทั้งในและต่างประเทศ เขาตั้งชื่อสินค้าใหม่ของเขาว่า RUBBER KILLER

แนวคิดที่ดูเหมือนเรียบง่าย แต่จากความเรียบง่าย เบื้องหลังก็คือการทำขยะรีไซเคิลให้เป็นขยะมีสไตล์ วัสดุที่เลือกใช้เป็นการนำมารีไซเคิล ไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรเพิ่มขึ้น


"จากที่ทำสมุดธรรมดา เห็นมียางในรถยนต์เก่าๆ อยู่ เลยลองเอามาทำเป็นสันสมุด ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ต่อมาก็ทำเป็นปกสมุด ให้มันทนทานมากขึ้น พอเริ่มมียางที่กว้านซื้อไว้มากขึ้น ไอเดียเพิ่มขึ้น ก็ลองทำออกมาเป็นกระเป๋า ตอนนี้ใช้ยางในรถบรรทุกล้วนๆ นอกจากจะแปลกใหม่แล้วยังหนา ทนทาน และเหนียวเป็นพิเศษ ผลตอบรับที่ได้ค่อนข้างดี มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาเป็นระยะ ทั้งที่เราไม่มีหน้าร้าน อาศัยขายในเว็บไซต์และเฟซบุ๊ก และคนซื้อบอกต่อ มีเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศสั่งไปใช้และไปขายกันด้วย การผลิตต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว"

คุณสเริงรงค์ บอกว่า เย็บกระเป๋าจากยางรถยนต์ไม่ง่าย เพราะเนื้อยางหนาและเหนียวมาก ช่างทั่วๆ ไปไม่ค่อยอยากทำ คนที่เย็บให้เดิมส่วนใหญ่เป็นชาวเขาบนดอย เอางานไปให้ สร้างรายได้ให้เขา โดยให้ค่าตอบแทนที่เขาควรจะได้ รายได้ดีกว่ารับจ้างอย่างอื่นทั้งวัน แต่ก็เริ่มมีปัญหาผลิตไม่ทัน ตอนนี้อยากหาคนมาช่วยผลิตอีกมาก เป็นงานละเอียดเพราะถึงจะใช้จักรเย็บแต่ก็มีรายละเอียดที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะขายฝีมือกับการออกแบบเป็นหลัก

RUBBER KILLER มีสินค้าทั้งหมด 7 แบบ และแบบที่ขายดีที่สุดก็คือ Briefcase เป็นตัวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเป็นการต่อยอดจากกระเป๋าในยุคก่อน หรือ Tote Bag ที่พัฒนาให้มีน้ำหนักเบา จากเดิมกระเป๋าจากยางในรถยนต์มักจะหนัก เมื่อมาทำเป็นกระเป๋าผ้าก้นกระเป๋าเป็นยางก็เบาขึ้น ราคาก็ต่ำลงไม่ถึงพันบาท จากราคาเฉลี่ยใบละ 1,500 บาทขึ้น คนซื้อไม่ลังเลเพราะขายฝีมือและไอเดีย ใบหนึ่งก็คงใช้กันจนเบื่อไปข้าง เดือนหนึ่งก็ขายกันหลายสิบใบ มีคนมาเชิญไปแสดงผลงานเนืองๆ

ข้อดีของยางในรถยนต์อยู่ตรงที่ทนทานและเป็นวัสดุเหลือใช้ แต่ในทางกลับกันข้อจำกัดก็คือเย็บยาก เรื่องการขึ้นรูป การเปลี่ยนรูปทรง ไม่เหมือนผ้า หรือหนัง จะคิดให้ฉีกมากก็ไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะพัฒนาไม่ได้ คุณสเริงรงค์ บอกว่า ยังมีวัตถุดิบเหลือใช้ที่จะนำมาดัดแปลงให้เข้ากับกระเป๋ายางในรถยนต์ได้อีก มาก

สนใจเข้าไปดูสินค้า หรือสอบถามแนวคิดในการพัฒนาสินค้าของเขา เผื่อจะร่วมกันต่อยอดได้ที่ www.facebook.com/rubberkiller

Read More...


เพ็ตช็อปเฟื่องทั่วโลก “Dog2home” ส่งออกช่างไทย-ขายแฟรนไชส์






ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จะเห็นร้านเพ็ตช็อป ซึ่งเน้นการตัดแต่งขนสุนัขผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด โดยเฉพาะในตัวเมืองหรือในชุมชนใหญ่ๆ แสดงว่าผู้คนในบ้านเรานิยมเลี้ยงสุนัข และแมวกันมากขึ้น อีกอย่างสังเกตได้จากผลิตภัณฑ์เลี้ยงน้องหมาน้องแมวที่ลงทุนโฆษณาตามทีวี ช่องต่างๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นแนวโน้มที่ชี้ได้ว่าธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขยังคงไปได้ดีทั้งใน ปัจจุบันและอนาคต

  ธุรกิจไปได้ดีเติบโตตลอด  
“คุณอนุพันธ์ ธราดลรัตนากร” เจ้าของสถาบัน “Dog2home” เป็นอีกคนที่สามารถยืนยันในประเด็นที่ว่านี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเขาผู้นี้คลุกคลีอยู่ในวงการสุนัขมานาน เรียกว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่เปิดสถาบันสอนตัดแต่งขนสุนัข และทำสปาสุนัข ซึ่งณ วันนี้ “Dog2home” เปิดสอนมาเป็นปีที่ 12 แล้ว กิจการขยายใหญ่ขึ้น แผนในอนาคตอันใกล้ของสถาบันคือจะสร้างผู้ประกอบการและสร้างช่างเข้าสู่ตลาด โลก โดยตอนนี้ถึงขั้นไปจับมือกับนักธุรกิจอินเดียเปิดสถาบันสอนตัดแต่งขน สุนัขที่เมืองแขกโน้น




สาเหตุสำคัญที่คุณอนุพันธ์เข้ามาจับธุรกิจนี้เพราะเป็นคนรักน้องหมาเป็น ทุนเดิม และได้ร่ำเรียนวิชาการตัดขนสุนัขจากอาจารย์ชาวอเมริกันที่เข้ามาสอนในเมือง ไทย พร้อมกับนำมาผสมผสานกับความรู้ระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ และปริญญาโท เทคโนโลยีการศึกษา และเขียนเป็นหลักสูตรไว้สอนผู้สนใจที่เข้ามาเรียนในสถาบันดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ที่ต้องการจะเปิดร้านเพ็ตช็อป

คุณอนุพันธ์ บอกว่า ในบรรดาโรงเรียนประเภทเดียวกัน ถือว่า “Dog2home” เป็นสถาบันที่สอนครบวงจรที่สุด เพราะมีทั้งหลักสูตรตัดขนสุนัข หลักสูตรสปาสุนัข หลักสูตรทำสีขนสุนัข และหลักสูตรการตัดแต่งขนสุนัขสำหรับประกอบภาพยนตร์ ซึ่งถือว่าเป็นหลักสูตรใหม่ในเมืองไทย ไม่เคยมีที่ไหนสอนมาก่อนเลย

อย่างที่เกริ่นไว้แต่แรก ธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขเติบโตมาตลอด ซึ่งมีสิ่งบ่งชี้หลายประการ ง่ายๆ ที่เห็นคือ ผู้คนในบ้านเราพาสุนัขตัวโปรดไปไหนต่อไหนมากขึ้น จนบางแห่งต้องเขียนป้ายติดไว้ว่า ห้ามนำสุนัขเข้ามา

  หลักสูตรยอดฮิต 
“ธุรกิจนี้เติบโตเป็นกราฟเฉียง คือค่อยๆ เติบโตตามความเจริญเติบโตของประชากรน้องหมา แล้วก็เติบโตตามความรู้ของประชาชน ขณะที่ผู้คนรักสุนัขมากขึ้นก็เลี้ยงมากขึ้น ย้อนไป 10 ปีที่แล้วประชาชนเอาน้องหมาไปอาบน้ำ หรือซื้ออาหารเม็ดให้กินยังไม่ค่อยมี มีแต่ให้อาหารเหลือหรือให้อาหารมนุษย์บ้าง แต่พอ 10 ปีผ่านไป เทคโนโลยีก้าวหน้า คนมีความเข้าใจ และมีความรักน้องหมาเพิ่มขึ้น และเป็นช่วงที่อาหารเม็ดเข้ามาสู่เมืองไทยเยอะ คนรักสุนัขแบบถูกวิธีมากขึ้นเลยเป็นเหตุให้การเจริญเติบโตของโรงเรียนก็สูง ขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันนี้ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่มีมา ยิ่งปีนี้ยิ่งบูมมาก และแม้ปีนี้เป็นปีที่แม้ธุรกิจอื่นจะซบเซาแต่ธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขจะไม่ซบ เซาเพราะคนเลี้ยงเขารักสุนัขเหมือนลูก ซื้อได้จ่ายได้ธุรกิจก็โตขึ้นเรื่อยๆ”

“Dog2home” ตั้งอยู่ดอนเมือง บริเวณสี่แยกฐานทัพอากาศ ถนนพหลโยธิน มีอาจารย์ประจำ 3 คน เดือนหนึ่งมีนักเรียนเฉลี่ย 30 คน สอนห้องละ 10 คน ค่าเรียนคนละ 28,000 บาท คอร์สหนึ่งใช้เวลาเรียน 1 เดือน เช่น การตัดแต่งขนสุนัขสำหรับประกอบอาชีพ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักนิยมเรียนคอร์สนี้เพราะจะไปเปิดร้าน โดยคอร์สดังกล่าวจะรวบรวมเรื่องราวของการอาบน้ำการตัดขนทุกแบบทุกทรง รวมไปถึงการเรียนแผนธุรกิจเกี่ยวกับสุนัข การบริการ การหาทำเล และถ้าจะเปิดเพ็ตช็อปจะสั่งของได้ที่ไหน ราคาเท่าไร เมื่อเรียนจบสามารถออกไปเปิดร้านได้เลย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ร้านตัดขนเสริมสวยสุนัข 60 เปอร์เซ็นต์เป็นลูกศิษย์ของที่นี่หมดเลย


ทั้งนี้แม้ “Dog2home” มีหลายหลักสูตร แต่ปรากฏว่าหลักสูตรตัดแต่งขนสุนัขสำหรับประกอบอาชีพได้รับความนิยมมากที่ สุด และถือเป็นหลักสูตรพื้นฐานก่อนที่จะไปเรียนหลักสูตรเฉพาะทางอื่นๆ ซึ่งในจำนวนคนเรียนทั้งหมดนั้น คุณอนุพันธ์ ระบุว่า ส่วนใหญ่เกิน 90 เปอร์เซ็นต์ไปเปิดร้านเอง ที่เหลือเป็นคนรักสุนัขมาเรียนเพื่อไปทำที่บ้าน อีกส่วนต้องการไปเป็นช่างตัดขนสุนัขประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์

เจ้าของ “Dog2home” เล่าว่า ในเมืองไทยมีโรงเรียนที่เปิดสอนการตัดแต่งขนสุนัขใหญ่ๆ มีด้วยกัน 3 แห่ง รวมทั้ง “Dog2home” ด้วย แต่ที่นี่แตกต่างจากโรงเรียนอื่นเพราะเน้นการไปเป็นผู้ประกอบการ ส่วนที่อื่นอาจจะเน้นเรื่องของงานศิลปะ งานอาร์ต ทำย้อมสีขนให้สวย แต่ไม่เน้นเชิงพาณิชย์ ขณะที่ “Dog2home” ทำแบบครบวงจรเพราะเห็นว่าการตัดขนอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ธุรกิจนี้ประสบผล สำเร็จได้

ในฐานะที่อยู่วงการสุนัขมานาน เจ้าของ “Dog2home” มองว่า มูลเหตุที่สำคัญอีกอย่างที่ทำให้ธุรกิจนี้เติบโตได้ดีเพราะผู้ใหญ่ในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเลี้ยงสุนัข ฉะนั้น แบบอย่างแบบนี้ทำให้คนไทยก็ทำตามพระองค์ท่าน รวมถึงพวกดาราด้วยพอเลี้ยงคนอื่นก็เลี้ยงตามด้วย

  ขาดแคลนช่าง
นอกจากนี้ การที่สุนัขทั้งหลายคลอดลูกเร็ว พอคลอดลูกมาเจ้าของก็ต้องดูแล ต้องซื้อของ ธุรกิจเลยเติบโตเร็ว ส่งผลให้ช่างตัดขนสุนัขนี่ขาดแคลน จบปุ๊บมีงานทำทันที ไม่มีช่าง เพราะส่วนใหญ่ไปเป็นผู้ประกอบการ พวกทำธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ คลินิก หมอเรียนจบมาเขาก็ต้องเปิดร้าน เปิดคลินิก ซึ่งก็ต้องเปิดอาบน้ำด้วยไม่เช่นนั้นก็อยู่ไม่ได้ ต้องหาช่างอีก ขณะที่ช่างก็ขาดตลาด จึงเป็นที่มาของการที่ “Dog2home” ร่วมมือกับศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานนนทบุรี ที่ผู้อำนวยการเห็นว่าช่างตัดขนสุนัขขาดแคลน โดยผู้สนใจเรียนฟรี รุ่นหนึ่ง 40-50 คน สอนมาเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว ปรากฏว่ามีคนสนใจมากเพราะปกติไปเรียนที่สถาบันต้องเสีย 28,000 บาท และบางสถาบันต้องเสียถึง 30,000-40,000 บาท

   ส่งช่างไทยไปต่างประเทศ  
หลายคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการเลี้ยงน้องหมา อาจจะประหลาดใจ ไม่นึกว่าถึงขั้นขาดแคลนช่างตัดขนสุนัขกันแล้ว แต่ใช่ว่าบ้านเราจะมีปัญหานี้เท่านั้น ในประเทศอื่นๆ กระแสนี้ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน

“มันไม่ได้ขาดแคลนเฉพาะที่ประเทศไทยเท่านั้นแต่ขาดแคลนทั่วโลก ที่โรงเรียนเองผลิตคนไปทำงานต่างประเทศหลายคนแล้ว มีไปเป็นช่างที่ญี่ปุ่น ฮ่องกง ตะวันออกกลาง แล้วก็เยอรมนี ล่าสุดกำลังจะไปอินเดีย เนื่องจากอินเดียยังไม่มีร้านอาบน้ำตัดขนสุนัขเลย ผมเองได้รับการติดต่อจากนักธุรกิจอินเดียจะเดินทางไปเมืองมุมไบในเดือน พฤษภาคมนี้”
ทั้งนี้ หลังจากคุณอนุพันธ์ไปสอนวิธีการตัดแต่งขนสุนัขและหลักสูตรอื่นๆ แล้ว ก็จะส่งนักเรียนในสังกัดไปทำงานในร้านแฟรนไชส์ต่างๆ ที่อินเดีย เพราะนอกจากทางอินเดียจะจ้างไปสอนให้คนของเขาส่วนหนึ่งแล้ว ก็ยังให้ทาง “Dog2home” หาคนป้อนให้ด้วย เนื่องจากนักธุรกิจอินเดียผู้นี้จะเปิดขายแฟรนไชส์ทั่วอินเดีย


-->


   บาห์เรนจ้างเดือนละครึ่งแสน  
ก่อนจะส่งช่างตัดขนสุนัขไปอินเดียนั้น คุณอนุพันธ์ เล่าว่า เคยส่งไปประเทศบาห์เรน ซึ่งมีปัญหาเหมือนกับอินเดีย คือยังไม่เคยมีร้านตัดขนสุนัขเหมือนกัน นายจ้างชาวบาห์เรนเดินทางมาเมืองไทยเพื่อมาคัดเลือกช่างไปอยู่ ผ่านมาประมาณเกือบปี ถือเป็นร้านแรกในบาห์เรน โดยช่างไทยคนดังกล่าวได้เงินเดือน เดือนละ 50,000 บาท อยู่กินกับนายจ้างเสร็จ  ปีหนึ่งๆ ให้กลับมาเยี่ยมบ้าน 1 ครั้ง

การที่ช่างตัดแต่งขนสุนัขของไทยได้รับการยอมรับจากทั่วโลก คุณอนุพันธ์ ระบุว่า เป็นเพราะคนไทยช่างประดิดประดอย ประเทศอื่นสู้ไม่ได้ ซึ่งการตัดขนสุนัขนั้นต้องละเอียด มีการมัดจุกผูกโบว์ พวกแขกพวกอินเดียทำไม่ได้เลย ยังไม่มีศิลปะทางด้านนี้ แรงงานไทยจึงสำคัญ

สำหรับหลักสูตรการตัดแต่งขนสุนัขของ “Dog2home” นั้น นำมาจากอเมริกา ซึ่งทั่วโลกก็ใช้เหมือนกัน เทียบได้กับการตัดผมแบบรองทรงของผู้ชายทั่วโลกก็ตัดเหมือนกัน เช่นตัดขนสุนัขน้องหมาพันธุ์พุดเดิ้ลก็ตัดแบบเดียวกันทั่วโลก สุนัขพุดเดิ้ลตัดทรงหนึ่ง ชิสุก็ทรงหนึ่ง ปอมเมอเรเนียนก็ทรงหนึ่ง และยังมีสุนัขพันธุ์ต่างๆ อีก ฉะนั้น ต้องเรียนเยอะมาก

“สเต็ปแรกต้องเรียนรู้เรื่องสายพันธุ์สุนัข นิสัยเขาเป็นอย่างไร พอรู้จักนิสัยแล้วก็ต้องรู้จักธรรมชาติของเส้นขนเขาแบบนี้จะเหมาะกับแบบไหน แล้วก็เรียนรู้เรื่องการใช้อุปกรณ์ว่าพุดเดิ้ล ไถเท้า ไถปาก มาตรฐานโลกเขาใช้ปัตตะเลี่ยนเบอร์อะไร ต้องใช้ตามนั้นหมด ค่าอุปกรณ์ก็แพงมาก ปัตตะเลี่ยนอันหนึ่งหมื่นกว่าบาท ที่แพงเพราะบ้านเราผลิตไม่ได้ต้องสั่งนำเข้าโดยตรงจากอเมริกา ปัจจุบันในอินเตอร์เน็ตก็มีขาย หรือบางคนก็หิ้วเข้ามา ด้วยความที่ไม่ใช่สินค้าที่ขายได้ทั้งประเทศ เป็นสินค้าที่ขายได้เฉพาะกลุ่มก็เลยแพง”

12 ปีที่ทำสถาบันเปิดสอนตัดแต่งขนสุนัข คุณอนุพันธ์ ยืนยันว่า ธุรกิจเพ็ตช็อปไปได้ดีมาก ซึ่งปีที่แล้วที่อเมริกามีการสำรวจว่าธุรกิจอะไรเกี่ยวกับสุนัขที่เติบโต ถ้าเทียบกันระหว่างธุรกิจอาหารสุนัข ธุรกิจการบริการสุนัข การนำสุนัขไปอาบน้ำ ไปตัดขน ไปสระว่ายน้ำ ไปนวด ปรากฏว่าธุรกิจบริการสุนัขมีอัตราการเติบโตสูงที่สุด สูงเป็น 2 เท่าของธุรกิจอื่นๆ

ในส่วนของสถาบันเอง ผลตอบแทนทางธุรกิจถือว่าสูง ถัวเฉลี่ยมีรายได้ตกเดือนละ 500,000 บาท ปีหนึ่งประมาณ 6,000,000 บาท

   ขายแฟรนไชส์  
นอกจาก “Dog2home” มีแผนจะมุ่งผลิตผู้ประกอบการและช่างป้อนสู่ตลาดโลกแล้ว คุณอนุพันธ์ยังมีแผนจะทำแฟรนไชส์รับบริการตัดแต่งขนสุนัข ตั้งชื่อว่า Dog2home beauty ช่วงเริ่มต้นจะมี 20 สาขาทั่วประเทศไทย จากนั้นจะขยายให้ได้ 100 สาขา ใช้เวลา 2 ปี

สำหรับลูกค้าแฟรนไชส์นั้น จะเป็นลูกศิษย์ที่เรียนจบแต่ละรุ่น แทนที่จะไปเปิดร้านเองก็ซื้อแฟรนไชส์ของอาจารย์ไปเปิด ซึ่งจะเป็นทั้งร้านเพ็ตช็อปแล้วก็มีบริการอาบน้ำตัดขนอยู่ในตัว หรือถ้าใครมีเงินทุนสูงก็อาจจะเปิดเป็นสระว่ายน้ำเป็นโรงแรมสุนัขด้วยก็ได้

รูปแบบแฟรนไชส์จะมีอยู่ 3 รูปแบบ มีราคา 200,000 บาท 500,000 บาท และ 1,000,000 บาท ราคาดังกล่าวเป็นค่าแฟรนไชส์ ส่วนรายเดือนจะคิดจากรายได้จากยอดขาย 5 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับจะทำประชาสัมพันธ์ให้
กรณีราคา 200,000 บาท คือมีอุปกรณ์ มีร้านเพ็ตช็อป มีโรงพยาบาลสัตว์อยู่แล้วแต่ยังไม่มีมืออาชีพไปบริหารจัดการ ทาง “Dog2home” จะส่งช่างและผู้บริหารไปให้

ส่วนแฟรนไชส์ราคา 500,000 บาท คือลงทุนอุปกรณ์แล้วก็ส่งช่างไปให้ มีแบรนด์มีโลโก้ และตกแต่งแบบสไตล์ “Dog2home” เป็นประเภทมีสระว่ายน้ำสุนัข และมีโรงแรมสุนัขในตัวด้วย แล้วแต่พื้นที่ นับเป็นกิจการใหญ่ทีเดียว
คุณอนุพันธ์ บอกว่า กำลังเจรจากับเจ้าของร้านอยู่ 11 แห่ง ในต่างจังหวัดมีที่ จังหวัดอุบลราชธานี อุทัยธานี ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลสัตว์ที่เปิดอยู่แล้ว แต่ไม่อยากมาบริหารจัดการเรื่องการบริการต่างๆ ในส่วนของการตัดแต่งขน

สนใจซื้อแฟรนไชส์ หรืออยากเรียนที่สถาบันดังกล่าว เข้าไปดูที่ www.dog2home.com หรือสอบถาม โทรศัพท์ (086) 307-4942


credit :  http://www.matichon.co.th/

Read More...


“มะคาเดเมีย” เมืองเลย โอท็อป 5 ดาว ขายดีจนผลิตไม่ทัน













“สำหรับรายได้ในส่วนของกลุ่มผู้ ปลูก 75 ครอบครัวนั้น 1 ปีจะมีการปันผลกันครั้งหนึ่ง รายได้ต่อปีขึ้นอยู่กับผลผลิตในแต่ละปี เหมือนทำเป็นแปลงกลางแล้วทุกครัวเรือนลงหุ้นดูแลกันตรงนั้น แปลงหนึ่งมีประมาณ 1,000 ต้น จะมีรายได้ 300,000-500,000 บาท ต่อปี นอกจากนี้ ยังแตกย่อยเป็นกลุ่มแปรรูปอีกชั้นหนึ่ง ขณะที่รายได้ต่อเดือนในกลุ่มแปรรูปประมาณคนละ 5,000 บาทขึ้นไป”
                            
แม้จะไปจังหวัดเลยหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเมืองนี้สามารถปลูกพืชเมืองหนาวอย่างมะคาเดเมียได้ พอไปเห็นผลิตภัณฑ์มะคาเดเมียของกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านบ่อเหมือง น้อย อำเภอนาแห้ว จึงค่อนข้างจะแปลกใจ และยิ่งน่าสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะได้โอท็อป 5 ดาวของจังหวัดเลย เมื่อปี 2553 


-->


ยี่ห้อ “เกษตรภูสันทราย”
คุณนรรถพร สุโพธิ์ ประธานกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านบ่อเหมืองน้อย เล่าว่า กิจกรรมหลักๆ ของกลุ่มคือแปรรูปมะคาเดเมีย สตรอเบอร์รี่ และแปรรูปสินค้าเกษตรต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ โดยเป็นชาวบ้านกลุ่มแรกที่แปรรูปมะคาเดเมีย ขณะที่ในท้องตลาดทั่วไปจะเป็นของโครงการหลวง หรือเป็นของบริษัทใหญ่ๆ เสียมากกว่า ส่วนสตรอเบอร์รี่ก็ทำแยม และทำน้ำสตรอเบอร์รี่ ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีพ่อค้าแม่ค้าเข้าไปซื้อสตรอเบอร์รี่แทบทุกวัน ในราคากิโลกรัมละ 100-150 บาท แต่เกษตรกรปลูกกันไม่มากและไม่พอขาย

สำหรับมะคาเดเมียแปรรูปของกลุ่มนี้มีหลากหลาย อาทิ อบเกลือ, อบธรรมชาติ, อบเนย, เคลือบช็อกโกแลต และมะคาเดเมียแก้วที่ทำเหมือนถั่วตัด นอกจากนั้น ยังทำน้ำมันมะคาเดเมียด้วย

ราคาขายมะคาเดเมียอบเกลือกิโลกรัมละ 500-900 บาท แล้วแต่เกรดแล้วแต่ขนาด ทางกลุ่มจะทำเป็นแพ็กด้วย ถ้าเป็นเกรดเอ 200 กรัม ราคา 180 บาท เกรดเอเม็ดแตก 150 กรัม ราคา 120 บาท

ส่วนมะคาเดเมียเคลือบช็อกโกแลตนั้นทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเลยเป็นผู้ดูแล เรื่องสูตร กล่องหนึ่งมี 20 เม็ด ราคา 100 บาท ตกเม็ดละ 5 บาท ซึ่งทางกลุ่มยืนยันว่าไม่แพง เพราะถ้าเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่นขายเม็ดละ 9-14 บาท และหากเทียบกับของโครงการหลวงขนาดเม็ดจะเท่ากัน แต่โครงการหลวงบรรจุภัณฑ์จะสวยกว่าและราคาจะสูงกว่าเยอะมาก โดยของโครงการหลวงขาย 120 กรัม ราคา 180 บาท แต่ของกลุ่มเป็นยี่ห้อเดียวที่น้ำหนักมากกว่าราคา

ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านบ่อเหมืองน้อย ใช้ชื่อว่า “เกษตรภูสันทราย” เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเขตอุทยานภูสันทราย ทั้งนี้ มะคาเดเมียอบเกลือและอบธรรมชาติจะขายดีที่สุด
    
แนะต้องเร่งส่งเสริมให้ปลูก
ที่ผ่านมา ทางกลุ่มเคยนำมะคาเดเมียและผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆ มาขายที่กรุงเทพฯ หลายครั้งหลายหน แต่ก็มีลูกค้าสงสัยและสอบถามว่าเมืองไทยปลูกได้จริงหรือ จึงต้องอธิบายว่าปลูกได้และปลูกกันหลายจังหวัดทางภาคเหนือ

สำหรับปัญหาหนักอกของกลุ่มนี้คือ มีวัตถุดิบไม่ค่อยพอ เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ในอำเภอนาแห้วมักจะปลูกพืชล้มลุกอย่างข้าวโพดมากกว่า กลุ่มเองมีสมาชิก 75 ครอบครัว และต่างปลูกมะคาเดเมียกันหมด แต่ก็ยังไม่พอ คุณนรรถพรจึงฝากบอกไปยังหน่วยงานราชการว่า ควรมีการส่งเสริมให้ปลูกในพื้นที่อำเภอนาแห้วและพื้นที่อื่นๆ ให้มากขึ้น เพราะมะคาเดเมียเป็นพืชยืนต้นที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงถ้าเทียบกับการปลูก ยางพารา ซึ่งในอำเภออื่นๆ ของจังหวัดเลยก็ปลูกกัน อย่างเช่นที่ ภูเรือ, ด่านซ้าย หรือที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และที่จังหวัดตาก จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่

เธอเล่าว่า ในปัจจุบัน ถ้าขายเป็นมะคาเดเมียรวมเปลือกแข็งๆ ทางกลุ่มรับซื้อกิโลกรัมละ 60 บาท แล้วนำมาคัดแยกเกรดเอง แต่ถ้าแปรรูปก็คูณ 2 คูณ 3 เข้าไป พื้นที่ไหนปลูกทางกลุ่มก็จะรับซื้อไว้หมด เพราะของอำเภอนาแห้วเองมีไม่พอ ซึ่งการรับซื้อในราคาสูงเช่นนี้ เพราะถือว่าคนที่ปลูกกับคนแปรรูปและคนที่ขายต้องได้ส่วนแบ่งพอๆ กันถึงจะไปด้วยกันได้ โดยปีหนึ่งๆ จะรับซื้อมะคาเดเมียปีละ 30 ตัน

ในฐานะที่ค้าขายมะคาเดเมียแปรรูปมาหลายปี คุณนรรถพร มองว่า “ผลิตภัณฑ์พวกนี้น่าจะไปได้ดีเพราะขายมาตั้งแต่ปี 2546 สินค้าก็ยังไม่พอขาย และไม่เคยเลยที่จะขายไม่ออก มีแต่จะไม่พอขาย พูดได้ว่ามะคาเดเมียสมแล้วที่เป็นต้นไม้ของพ่อเพราะสามารถสร้างอาชีพได้หลาก หลายมาก คือแปรรูปได้หลายอย่าง ที่กลุ่มเราทำทุกวันนี้ยังไม่ครบทุกอย่าง ยังสามารถทำไอศกรีม ทำคุกกี้ได้อีก จึงวางแผนไว้ว่าจะทำต่อเมื่อวัตถุดิบมีมากพอ”

จุดเด่นทั้งถูกทั้งดี
สินค้าของกลุ่มนี้แตกต่างจากเจ้าอื่นตรงที่ราคาถูกกว่าและมีความสดใหม่ ซึ่งคุณนรรถพร ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะทางกลุ่มจะไม่กะเทาะเปลือกมะคาเดเมียไว้นาน จะอบทั้งกะลาไว้ก่อน พอจะออกงานค่อยกะเทาะเปลือกอีกครั้งหนึ่ง เรื่องความสะอาดก็ได้รับความช่วยเหลือจาก สวทช. และสาธารณสุข พร้อมกับได้เครื่องหมาย อย. และได้ตรา มผช. แล้ว โดยหน่วยงานราชการในพื้นที่ช่วยกันดูแลเต็มที่

คุณนรรถพร เล่าถึงสาเหตุที่กลุ่มมาทำแปรรูปมะคาเดเมียว่า เป็นเพราะบ้านบ่อเหมืองน้อยเป็นหมู่บ้านเพื่อความมั่นคงหลังศึกร่มเกล้า เมื่อทหารรับชาวบ้านเข้าไปอยู่เป็นหมู่บ้านเพื่อความมั่นคงแล้วทหารก็นำนัก วิชาการเข้ามาสำรวจพื้นที่ พร้อมกับนำต้นมะคาเดเมียมาให้ปลูก ตั้งแต่ปี 2533 ครั้งแรกมีคำสั่งให้ปลูกกันทุกครอบครัว ครอบครัวละ 50 ต้น ซึ่งฝ่ายทหารระบุว่าพืชตัวนี้จะทำให้ชาวบ้านอยู่ได้แต่ชาวบ้านก็ไม่เชื่อ เนื่องจากระยะเวลาให้ผลผลิตยาวนานมาก คือถ้าดูแลอย่างดีต้องใช้เวลาประมาณ 6-7 ปี แต่ถ้าปลูกแบบชาวบ้านใช้ 10 ปีขึ้นไป พอปลูกกันมาจนถึงปี 2545-2546 มะคาเดเมียจึงเริ่มให้ผลผลิต จากนั้นก็มาเรียนรู้เรื่องการแปรรูป

ตั้งแต่เริ่มปลูกปี 2533 ถึงตอนนี้ในเขตอำเภอนาแห้วมีต้นมะคาเดเมียประมาณ 7,000 ต้น และในปีนี้ฝ่ายทหารมีนโยบายมาส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกอีก 1,000 ไร่

ถามถึงปัญหาการปลูกมะคาเดเมีย คุณนรรถพร บอกว่า ไม่ค่อยมีเพราะเป็นต้นไม้ที่ชอบปุ๋ยคอก เรื่องโรคและแมลงก็ไม่มี แค่ดูแลตัดหญ้าเท่านั้น ปัญหาหลักๆ ของเจ้าไม้เมืองหนาวนี้คือระยะเวลาในการปลูกนานมาก พันธุ์ที่ปลูกมี 5-6 พันธุ์ โดยจะปลูกหลายพันธุ์คละกันไป

สำหรับรายได้ในส่วนของกลุ่มผู้ปลูก 75 ครอบครัวนั้น 1 ปีจะมีการปันผลกันครั้งหนึ่ง รายได้ต่อปีขึ้นอยู่กับผลผลิตในแต่ละปี เหมือนทำเป็นแปลงกลางแล้วทุกครัวเรือนลงหุ้นดูแลกันตรงนั้น แปลงหนึ่งมีประมาณ 1,000 ต้น จะมีรายได้ 300,000-500,000 บาท ต่อปี นอกจากนี้ ยังแตกย่อยเป็นกลุ่มแปรรูปอีกชั้นหนึ่ง ขณะที่รายได้ต่อเดือนในกลุ่มแปรรูปประมาณคนละ 5,000 บาทขึ้นไป

เจ้าแรกในประเทศไทย
ด้านน้ำมันมะคาเดเมียถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของกลุ่ม ซึ่งคุณนรรถพร เล่าว่า ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเลยจึงมาช่วยให้คำปรึกษา เพราะเดิมนั้นทางกลุ่มจะนำเศษๆ มะคาเดเมียไปเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ นักวิชาการจึงนำวัตถุดิบเหล่านั้นไปวิจัย พบว่า มีน้ำมันอยู่และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถป้องกันผิวแตกผิวแห้งได้ รวมทั้งส้นเท้าแตก และถ้าอยู่ในพื้นที่อากาศหนาวหากทาน้ำมันมะคาเดเมียจะช่วยให้ผิวชุ่มชื่น เมื่อนำมาทดลองใช้หมักผมจะไม่ร่วง ผมมีน้ำหนักขึ้น 
ขายขวดละ 150 บาท บรรจุ 60 ซีซี ถ้าขวดละ 500 ซีซี ขาย 1,000 บาท ซึ่งถือเป็นเจ้าแรกที่ทำขายในเมืองไทย
ช่วงที่สนทนากันนั้นเป็นงานกาชาดของจังหวัดเลย ปรากฏว่ามีลูกค้าเข้ามาชิมกันยกใหญ่ และหลายรายซื้อติดไม้ติดมือกลับไป

ใครไปจังหวัดเลย หาซื้อมะคาเดเมียแปรรูปของกลุ่มนี้ได้ที่ ปั๊ม ปตท. นาอาน และปั๊ม ปตท. ภูเรือ หรือโทรศัพท์สอบถามกับคุณนรรถพร ได้ที่ (089) 841-1374

credit : http://www.matichon.co.th/

Read More...


เหยือกกรองน้ำแบบพกพา “บริต้า” มิติใหม่น้ำดื่มรับไลฟ์สไตล์คนเมือง

เหยือกกรองน้ำพร้อมไส้กรอง พกพาไปใช้ได้ทุกที่
       ปัจจุบันเครื่องกรองน้ำถือ เป็นของใช้ประจำบ้านที่มีใช้กันอย่างแพร่หลาย การพัฒนานวัตกรรมเครื่องน้ำขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภค ในการเพิ่มความสะดวกสบาย เช่นเดียวกับเครื่องกรองน้ำภายใต้แบรนด์ BRITA ได้พัฒนาเครื่องกรองน้ำที่มีคุณสมบัติเด่นเป็นแบบพกพา ช่วยให้คุณสามารถพกพาไปใช้ที่ไหนก็ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องมีขั้นตอนการติดตั้งที่ยุ่งยาก
      
       ดร.มนู ลีนะวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อควาอินโนเทค (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กรองน้ำแบรนด์ “BRITA” เล่าว่า สำหรับเครื่องกรองน้ำ BRITA มีคุณสมบัติเป็นเหยือกกรองน้ำแบบพกพา สามารถนำไปใช้ที่ไหนก็ได้ และที่สำคัญทุกคนสามารถเปลี่ยนไส้กรองได้ด้วยตัวเอง สามารถตอบโจทย์ ความต้องการของผู้บริโภคคนไทยในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะด้วยสภาพสิ่งแวดล้อม มลพิษในอากาศ ภัยอันตรายต่างๆมากมายจากสารเคมี ทำให้ผู้บริโภคในทุกวันนี้จะห่วงใย ใส่ใจกับสุขภาพมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะน้ำดื่ม ที่มีความจำเป็น และสำคัญอย่างยิ่งกับการมีสุขภาพที่ดี ประกอบกับในเมืองไทยเองยังไม่มีสินค้าที่เป็นที่คู่แข่งที่ชัดเจน
นายมนู ลีนะวงศ์ ผู้จัดจำหน่ายกรองน้ำแบรนด์ “BRITA”
       โดยบริษัทฯ ได้ประเดิมเปิดตลาด เหยือกกรองน้ำแบบพกพา บริต้า ในปลายปีที่ผ่านมา ด้วยการวางจำหน่ายสินค้า 2 โมเดลแรก คือ เหยือกกรองน้ำแบบพกพารุ่น Marella และ Aluna ในราคาเริ่มต้นที่ 1,590 บาท เดือน ซึ่งเหยือกกรองน้ำนั้นเมื่อเทียบราคากับการซื้อน้ำดื่มขวดถือว่าถูกกว่ามาก เพราะถ้าใช้เหยือกกรองน้ำบวกราคาไส้กรองที่ต้องเปลี่ยนทุก 2 เดือนแล้ว ราคาค่าน้ำจะอยู่ที่ประมาณ 1.50 บาท ต่อ ลิตร
      
       สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลัก ของเหยือกกรองน้ำ บริต้า วางไว้ที่ กลุ่มคนทำงาน แม่บ้าน แม่ เด็ก และครอบครัวสมัยใหม่ ในระดับ B, B+ และ A ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และตามหัวเมืองใหญ่ๆ ทุกภูมิภาคของประเทศ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ในปัจจุบันจะมีไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ และนิยมสรรหาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะมาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นตลอดเวลา
เหยือกสีต่างๆ ให้เลือก
       ในช่วงแรกของการทำตลาด ทางบริษัทฯมุ่งเน้นพื้นที่ในกรุงเทพ พัทยา และชลบุรี เป็นจังหวัดนำร่อง จากนั้นมีแผนการที่จะขยายไปยังเมืองใหญ่ๆ โดยการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในต่างจังหวัด อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งจากการทำการตลาดอย่างเข้มข้น และจุดขายที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายช่องทาง คาดว่าในปีแรก จะสามารถสร้างยอดขายได้ทั้งสิ้น 20,000 เครื่อง หรือคิดเป็นยอดขายกว่า 35 ล้านบาท
      
       “อย่างไรก็ตาม จากการวางตลาดในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาพบว่า บริต้า ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยการเดินสายโรดโชว์ แนะนำสินค้า ตามออฟฟิศ สำนักงานชั้นนำ ในเขตกรุงเทพ รวมถึงเพิ่มช่องทางขายทางอินเตอร์เน็ต เพื่อเจาะเข้าถึงลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าภายใน 3 ปี นี้ บริต้า จะเป็นที่รู้จัก พร้อมเป็นผู้นำในตลาดเครื่องกรองน้ำขนาดพกพา” นายมนู กล่าวทิ้งท้าย
       สำหรับแผนการส่งเสริมการขายและตลาด ได้ตั้งงบประมาณในปีแรกไว้เบื้องต้นที่ 4 ล้านบาท เพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์พร้อมทั้งจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในเครือเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์ รวมถึง ท็อปส์ มาร์เก็ตเพลส (TOPS Marketplace) จำนวน 14 สาขา อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) จำนวน 3 สาขา ร้าน LoFt 2 สาขา และ UFM Fuji Super 2 สาขา
      
       นายมนู เล่าว่า ก่อนจะมาทำธุรกิจตัวนี้ ตนเองได้รับหน้าที่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ของบริษัท เครื่องปรับอากาศชั้นนำของเมืองไทยไทยแห่งหนึ่ง ทำให้ตนได้สะสม ประสบการณ์ ในด้านการบริหาร การตลาด การจัดการ ได้เรียนรู้ในด้านการขาย การพัฒนา ฝึกอบรมบุคลาการแบบมืออาชีพมายาวนานกว่า 6 ปี แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัว ทำให้เริ่มรู้สึกเบื่อกับการเป็นมือปืนรับจ้าง อยากที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง จึงเริ่มหันมามองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเอง
       จากประสบการณ์ในการทำงาน ที่ผ่านมา ทำให้ได้มีโอกาสรู้จักและทดลองใช้สินค้าในต่างประเทศหลายแบบ และมองหาสินค้าที่ประเทศไทยยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน จึงได้มารู้จักกับเหยือกกรองน้ำดังกล่าว ซึ่งรู้สึกถูกใจกับคุณภาพจึงได้ลองนำสินค้ามาให้ญาติพี่น้อง คนในครอบครัว และเพื่อนๆได้ทดลองใช้ ซึ่งทุกคนที่ได้ทดลองใช้ ต่างติดใจ และชื่นชอบในตัว เหยือกกรองน้ำ กันเป็นอย่างมาก
      
       เมื่อการสำรวจตลาด ความพึงพอใจต่อคุณภาพของ เหยือกกรองน้ำจนเป็นที่พึงพอใจ แล้ว จึงเกิดไอเดียนำสินค้าดังกล่าวเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทย จากนั้นจึงได้ปรึกษากับครอบครัว คิดก่อตั้งบริษัท อควาอินโนเทค ขึ้นมาเพื่อจัดจำหน่ายเหยือกกรองน้ำ ในตลาดเมืองไทยขึ้นมา โดยใช้เงินลงทุนในเบื้องต้นไปกว่า 5 ล้านบาท ด้วยความเชื่อมั่นในคุณสมบัติ ประสิทธิภาพของของเหยือกกรองน้ำดังกล่าว และประกอบกับไม่มีคู่แข่ง น่าจะประสบความสำเร็จตรงจุดนี้ และจากการเปิดตัวได้ 6 เดือนผลตอบรับก็มาดีในระดับที่น่าพอใจ คาดว่าจะคืนทุนไม่ยาก
      
       โทร. 02-249 -3067 , 08-1611 - 3691
       www.aquainnotech.com

Read More...


ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0










































 
Blogger Tips and TricksLatest Tips And TricksBlogger Tricks
Do it your self,handmade,HandiCraft,งานฝีมือ,อาชีพเสริม,ช่องทางทำเงิน บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.