บทความที่ได้รับความนิยม


Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ลูกมอม…ตุ๊กตาจากตำนาน ประดิษฐ์สู่งานฝีมือคลาสสิค

ตุ๊กตาลูกมอม
ตุ๊กตาลูกมอม พาหนะของเทพปัชชุนนเทวบุตร

ลูกมอม…ตุ๊กตาหน้าตาแปลก สัตว์ในตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่า เป็นสัตว์พาหนะของเทพปัชชุนนเทวบุตร เทพเจ้าแห่งฝน เป็นสัตว์ที่มีการผสมกันระหว่างลิงกับเสือและสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย จากภาพในตำนานถูกนำมาประดิษฐ์เป็นของขวัญของฝาก ที่หาดูได้บนถนนคนเดิน ประตูท่าแพ

คุณทองสุข มงคล ผู้คิดและริเริ่มประดิษฐ์ “ตุ๊กตาลูกมอม” บอกเล่าถึงที่มาของผลงานชิ้นนี้ว่า เริ่มต้นจากการหารายได้เสริมเพื่อนำมาเป็นค่าเล่าเรียน ด้วยการประดิษฐ์ชิ้นงานต่าง ๆ เกี่ยวกับช้างซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ประจำชาติไทย ซึ่งชาวต่างชาติรู้จักกันเป็นอย่างดี เช่น พวงกุญแจ ที่ใส่กระดาษชำระ ถุงผ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ภายใต้แบรนด์ “MONGKHON ” ซึ่งเป็นนามสกุลของตนเอง

จากนั้นก็เริ่มคิดและประดิษฐ์ชิ้นงานที่มีความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย มากขึ้น โดยเฉพาะงานประติมากรรมตามศาสนาสถานในเขตล้านนา จึงคิดประดิษฐ์ตุ๊กตาลูกมอมลูกมอม” ขึ้นมาเป็นสินค้าแบรนด์ที่สอง ซึ่งสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีทั้งประเภทประดับตกแต่ง เช่น ตุ๊กตาแบบต่าง ๆ ที่เน้นโชว์มากกว่าใช้งาน

ส่วนประเภทที่เป็นของใช้ เช่น กระเป๋าแบบต่าง ๆ และสินค้าที่เป็นเป็นได้ทั้งของประดับและของใช้ เช่น พวงกุญแจ ตุ๊กตา ที่สามารถปรับใช้ได้หลากหลาย สนนราคาจำหน่ายจะเริ่มที่ 60 บาทขึ้นไปจนถึงหลักพัน เช่น พวงกุญแจ 60 70 80 90 บาท ตุ๊กตาใช้กอดและโชว์ 240 260 450 2,500 บาท และกระเป๋า ที่มีทั้งแบบธรรมดาและซับซ้อน เริ่มต้นที่ 120–1,000 บาท

ในการตั้งราคาตุ๊กตาลูกมอมจะมีการปรับ เปลี่ยนตามการแปรผันของวัตถุดิบและกระบวนการ ผลิต ซึ่งคุณทองสุขบอกว่า พยายามจะปรับให้น้อยครั้งที่สุด หรือถ้าจะมีการปรับเปลี่ยนก็คงต้องเพิ่มคุณภาพและองค์ประกอบที่ดีขึ้นอย่าง เหมาะสมทุกครั้ง เพราะลูกค้าก็สามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเอง

ความแตกต่างคือจุดเด่นของตุ๊กตาลูกมอม
สำหรับจุดเด่นหรือความแตกต่างของสินค้าตุ๊กตาลูกมอมนั้น คุณทองสุขบอกว่า “คงเป็นความน่ารักและดูแปลกตา รวมถึงการออกแบบและองค์ประกอบต่าง ๆ ของตุ๊กตาลูกมอม และเป็นสินค้าที่ทำด้วยมือในเกือบทุกขั้นตอน อีกทั้งยังมีความหมายและคุณค่าในการอนุรักษ์และความเป็นสิ่งมงคล ตามเรื่องเล่าทางวัฒนธรรมและทรงคุณค่าเหมาะสำหรับการให้เป็นของขวัญหรือของ ฝากในทุกเทศกาล เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ”

ส่วนใครที่สนใจตุ๊กตาลูกมอม สามารถซื้อสินค้าได้โดยตรงที่จุดขายทุกวันเสาร์ ณ ถนนคนเดินวัวลายและวันอาทิตย์ ถนนคนเดินราชดำเนิน จังหวัดเชียงใหม่ หรือหากต้องการให้ผลิตและจัดส่งก็สามารถสั่งซื้อและส่งให้ได้ ทั้งทางไปรษณีย์ และทางอื่นๆ ตามแต่เหมาะสม โดยปกติลูกค้าต้องออกค่าส่งเอง หรือบางกรณีหากสั่งสินค้าเป็นจำนวนมาก ลูกค้าอาจต้องช่วยจ่ายค่าขนส่งสินค้าครึ่งหนึ่ง

สุดท้ายคุณทองสุขฝากข้อคิดในการสร้างธุรกิจเป็นของตนเองว่า “พยายามมองหาสิ่งที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสนใจ ความสามารถเฉพาะ และทำแล้วมีความสุขโดยไม่ฝืนความรู้สึกของตัวตัวเอง เมื่อทำด้วยความรัก ความตั้งใจและความพยามยาม ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นในที่สุด

แต่อย่างน้อย ๆ เราก็ได้พบกับความสุขสำเร็จภายในใจ ส่วนอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นตาม จะไม่ใช่ปัญหาและไม่น่ากลัวเลย เพราะในทุก ๆ ความสำเร็จจะต้องพบเจอกับความลำบาก และปัญหาอยู่แล้ว แต่ทุกครั้งที่จะสามารถผ่านไปได้ ขอให้เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ เพราะความสำเร็จจะเข้ามาใกล้มากขึ้น

ผู้ที่สนใจตุ๊กตาลูกมอมสามารถหาซื้อได้ที่ จุดแรก ทุกวันเสาร์ ถนนคนเดินวัวลาย จากประตูเชียงใหม่ออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 200 เมตร ทางลัดไปสนามบินนานชาติเชียงใหม่ จุดที่ 2 ทุกวันอาทิตย์ ถนนคนเดินราชดำเนิน จากประตูท่าแพร ประมาณ 200 เมตร ทางขวา ก่อนถึงทางแยกที่ 1
ติดต่อสอบถามรายละเอียดตุ๊กตาลูกมอมเพิ่มเติมได้ที่ คุณทองสุข มงคล โทร.087-1855807

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : Jobeasy.com

Read More...


“บุษย์น้ำทอง” สมุนไพรใกล้ตัว สู่เส้นทางสร้างเถ้าแก่น้อย


สมุนไพรบุษย์น้ำทอง
สมุนไพรบุษย์น้ำทองขวดใหญ่

ใครจะรู้ว่า วันหนึ่งของใช้ใกล้ตัวที่เรามองข้ามอย่าง “ยาดมสมุนไพร” กลับมาเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้คนเรามีอาชีพเสริมขึ้นมา และจากอาชีพเสริม ที่ทำเล่นๆ วันหนึ่งกลับกลายมาเป็นอาชีพหลัก สร้างรายได้หลายหมื่นบาทต่อเดือนเลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพียงแค่หันมาศึกษา มุ่งมั่นค้นคว้าสิ่ง ๆ นั้นแบบเป็นเรื่องเป็นราว วันหนึ่งเราอาจพบอาชีพใหม่ซึ่งเป็นอาชีพที่สร้างทั้งความสุข สร้างรายได้เสริม จนทำให้กลายเป็นเถ้าแก้น้อย ๆ โดยไม่รู้ตัว

นายพฤทธิ์ พิมพบุตร หรือ “หมู” เป็น อีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบกลิ่นของสมุนไพรในรูปแบบต่าง ๆ มานานกว่าสิบปี ไม่ว่าจะเป็นยาหม่อง ยาดม พิมเสนน้ำ หรือสมุนไพรหอม เมื่อเจอยี่ห้อใหม่ ๆ ที่วางขายตามท้องตลาด คุณหมูเป็นต้องซื้อหามาลองดมเสมอ และความชอบนี่เองทำให้คุณหมูลุกขึ้นมาศึกษาวิธีการทำสมุนไพรหอมจากชมรม อนุรักษ์สมุนไพรไทย จนปัจจุบันได้ผลิตสมุนไพรหอม “บุษย์น้ำทอง” เป็นของตัวเองในที่สุด

“ความที่ผมเป็นคนชอบดมยาดมประเภทสมุนไพรหอม ดมมาหลายชนิด หลายสูตร แต่รู้สึกว่ากลิ่นมันยังไม่ใช่กลิ่นที่ตัวเองชอบเสียทีเดียว วันหนึ่งก็เลยไปเรียนทำสมุนไพรหอมซึ่งอาจารย์ที่สอนก็ได้ให้ความรู้และสอน ขั้นตอนการทำอย่างละเอียด ส่วนกลิ่นของสมุนไพรจะเป็นกลิ่นแบบไหนก็อยู่ที่เราจะประยุกต์ การลดหรือเพิ่มเติมปริมาณของสมุนไพรบางชนิดเข้าไปจะทำให้สมุนไพรหอมของเรามี กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างจากคนอื่น”


สมุนไพรบุษย์น้ำทอง
นายพฤทธิ์ พิมพบุตร เจ้าของสมุนไพรบุษย์น้ำทอง

สำหรับสมุนไพรที่นำมาใช้เป็นส่วนประกอบสมุนไพรบุษย์น้ำทองนั้น 80 เปอร์เซ็นต์เป็นสมุนไพรไทย อีก 20 เปอร์เซ็นต์เป็นสมุนไพรที่นำเข้าจากจีน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีน้ำมันหอมระเหย สรรพคุณส่วนใหญ่คือ กลิ่นหอมสดชื่น ช่วยบำรุงธาตุ สมุนไพรที่นำมาใช้เป็นส่วนผสมได้แก่ กานพลู กระวาน ดอกจันทร์ พริกไทยดำ เมลทอล พิมเสน การบูร ฯลฯ สำหรับยาดมสมุนไพรบุษย์น้ำทอง เลือกกลิ่นของดอกกานพลูแห้ง และเมนทอล มาเป็นตัวเด่น เพราะให้กลิ่นที่หอมชื่นใจ และกลิ่นไม่แรงมาก ทำให้สามารถสูดดมได้บ่อยเท่าที่ต้องการ โดยขวดใหญ่มีอายุการใช้งานนานถึง 1 ปี ส่วนขวดเล็กมีอายุการใช้งาน 3-4 เดือน ใช้ระยะเวลาในการหมักสมุนไพรประมาณ 3ถึง 7 วัน

ปัจจุบันสมุนไพรทุกอย่างสามารถหาซื้อได้จากร้านขายสมุนไพรทั่วไป ส่วนราคามีการปรับขึ้นมาในช่วงหลัง เพราะมีคนหันมาทำยาดมสมุนไพรกันมาก สินค้ามีน้อยลง ราคาเพิ่มขึ้น โดยสมุนไพรแต่ละตัวราคาขึ้นลงแต่ละวันไม่เท่ากัน เหมือนกับราคาทองคำ ที่มีราคาขึ้นลงในแต่ละวันไม่เท่ากัน

ในการทำสมุนไพรบุษย์น้ำทองนั้น คุณพฤทธิ์บอกว่า เพื่อคุณภาพของสินค้าจึงจะผลิตในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไปนักเพราะจะทำให้ควบ คุมคุณภาพได้ และทุกขั้นตอนจะใช้คนในครอบครัวช่วยกันทำเป็นหลัก จากนั้นจึงกระจายไปสู่ขั้นตอนการจัดจำหน่าย โดยเริ่มแรกก็อาศัยการแนะนำผลิตภัณฑ์แบบบอกต่อ จนในที่สุดด้วยกลิ่นที่ถูกใจตลาดทำให้มีคนเริ่มสนใจรับไปขายเป็นรายได้เสริม จากงานประจำซึ่งมีทั้งนักเรียน คนทำงานที่ต้องการรายได้เสริม
นอกเหนือจากกลิ่นสมุนไพรบุษย์น้ำทองที่ถูกใจคนส่วนใหญ่ คุณหมูยังเน้นเรื่องความสวยงามของรูปลักษณ์ของสินค้าอีกด้วย โดยสมุนไพรบุษย์น้ำทองถูกบรรจุในขวดแก้วที่มีความสวยงาม สะอาดและปลอดภัย ปัจจุบันมีให้เลือกซื้อ 3 ขนาด ได้แก่ ขนาดใหญ่ 10 กรัม ราคา 45 บาท ขนาด 5 กรัม ราคา 35 บาท และขนาดเล็ก 2 กรัม ราคา 25 บาท โดย ผู้ที่รับไปจำหน่ายจะจัดส่งให้อีกราคาหนึ่ง ขึ้นอยู่กับจำนวนการสั่งซื้อ ที่ผ่านมา บุษย์น้ำทอง จะใช้ช่องทางการจำหน่ายผ่านทางบริการไปรษณีย์ เพราะช่วยให้กระจายสินค้าได้ทั่วประเทศในระยะเวลาอันรวดเร็ว

สมุนไพรบุษย์น้ำทองยอดขายมากมายช่วงเทศกาล

สำหรับ ยอดขายสมุนไพรบุษย์น้ำทองต่อเดือนประมาณ 1,000 ขวด แต่ถ้าเป็นช่วงเทศกาลอย่างช่วงวันสงกรานต์ยอดขายเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่เนื่องจากให้ความสำคัญกับคุณภาพ จึงไม่สามารถรับออร์เดอร์จำนวนมาก จำเป็นต้องปฏิเสธลูกค้าไปบ้างในช่วงเทศกาลที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้ เป็นปีแรกจึงไม่ได้มีการวางแผนการผลิตไว้ก่อน คาดว่าในปีต่อไป คงจะได้วางแผนการผลิตในช่วงเทศกาลให้ดีกว่านี้ และสามารถรับออร์เดอร์ลูกค้าได้ทั้งหมด

จุดเด่นที่ทำให้ลูกค้าพอใจสมุนไพรบุษย์น้ำทองและ มียอดขายเพิ่มขึ้นมาตลอด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มาจากคุณภาพของสินค้า กลิ่นที่ลูกค้าชื่นชอบ มีคุณสมบัติที่ลูกค้าพึ่งพอใจ และที่สำคัญ การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อไปเป็นของฝากตามเทศกาลหรือซื้อไปใช้ได้เอง โดยเฉพาะวัยรุ่นกล้าซื้อใช้ และไม่รู้สึกว่าเป็นของโบราณ


สมุนไพรบุษย์น้ำทอง
สมุนไพรบุษย์น้ำทองในห่อสีทองมอบเป็นของขวัญ

ส่วนแผนในอนาคต มีแผนที่จะร่วมกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดมาช่วยทำตลาดให้ ในขณะนี้มีบริษัทที่มีชื่อเสียง และมีประสบการณ์ด้านการตลาด เสนอตัวเข้ามา ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุป และร่วมงานกันในเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งช่วยขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้มากขึ้น
โทร.083-070-8916 / 085-058-9777

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


“PC FANCLUB” เคสใสฝีมือไทย ดีไซน์จัดท้าสู้นำเข้า

เคสคอมพิวเตอร์ใส PC FANCLUB

เคสคอมพิวเตอร์ใส แบรนด์ “PC FANCLUB”

ทุกวันนี้ การเลือกซื้ออุปกรณ์ไอทีสักชิ้น นอกเหนือจากประสิทธิภาพการทำงานแล้ว ด้านดีไซน์สวยงาม นับเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจ ซึ่งในท้องตลาด มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย แทบทั้งหมดนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน แม้ราคาจะถูก แต่คุณภาพยังเป็นข้อกังขา
จากประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงนำเข้าอุปกรณ์ไอที ทำให้นักธุรกิจหนุ่มอย่าง “วาสันต์ จันทา” คิดสร้างสรรค์และผลิตเคสคอมพิวเตอร์แบบโปร่งใส ฝีมือไทยแท้ๆ แบรนด์ “PC FANCLUB” นำเสนอจุดเด่นคุณภาพเหนือกว่าสินค้านำเข้า มาพร้อมดีไซน์สุดเฉียบ

เจ้าของผลิตภัณฑ์เคสคอมพิวเตอร์ใส จากห้างหุ้นส่วนจำกัด เน็คคอนเซ็ปท์ 9999 เผยว่า ทำธุรกิจนำเข้าสินค้าไอทีมา 2-3 ปี ทำให้เห็นว่า สินค้าที่ขายในท้องตลาดบ้านเรา ส่วนใหญ่นำเข้าจากจีนที่มักเป็นสินค้าเทียบเท่า หรือเลียนแบบ โดยผู้ขายต้องแข่งขันกันตัดราคา เพราะสินค้าเหมือนกันแทบทุกร้าน ทำให้คิดอยากผลิตและออกแบบสินค้าไอที ภายใต้แบรนด์ตัวเอง โดยเป็นสินค้าใหม่และแตกต่างกว่าสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยที่สุดลงตัวที่การผลิตเคสใส

“สาเหตุที่ผมเลือกทำเป็น เคสคอมพิวเตอร์ใส เพราะเคสที่เห็นทั่วไป ลักษณะจะเป็นแค่กล่องสี่เหลี่ยมเท่านั้น ซึ่งผมคิดว่า มันสามารถพลิกแพลงเปลี่ยนรูปทรง เพิ่มความสนุกสนานและลูกเล่นต่างๆ ลงไปได้ นอกจากนั้น ยังสามารถใช้ประโยชน์เป็นของตกแต่งบ้านหรือสำนักงานได้อีกด้วย” วาสันต์ อธิบายและกล่าวต่อว่า

เคสคอมพิวเตอร์ใส PC FANCLUB
เคสคอมพิวเตอร์ใส “PC FANCLUB” รุ่น Ranang

ในความเป็นจริงเคสคอมพิวเตอร์ใสมีการทำออกมาขาย ในตลาดสักระยะแล้วจากผู้ผลิตจีน และเกาหลี ทว่า ยังมีจุดด้อยสำคัญ คือ ใช้วัสดุอะคริลิคผสมพลาสติก ทำให้เปราะบางแตกหักง่าย และเมื่อใช้งานไปสักระยะ ความร้อนจะทำให้เคสเกิดการโค้งงอ บางครั้งถึงขึ้นไหม้ละลาย อีกทั้ง รูปทรงยังเป็นแบบกล่องสี่เหลี่ยมธรรมดา ไม่มีสีสันมากนัก ดังนั้น ได้ ต่อยอดสร้างสรรค์เคสที่มีคุณภาพสูงขึ้น โดยใช้วัสดุเป็นอะคริลิกแท้ 100% เกรดเอ นำเข้าจากญี่ปุ่น มีความหนากว่า 6 มิลลิเมตร แข็งแรงทนทาน ทนความร้อนได้สูงถึงกว่า 100 องศาเซลเซียส และยังมีคุณสมบัติเป็นชนวนป้องกันไฟฟ้าดูดได้ด้วย

วาสันต์ เล่าถึงด้านการออกแบบเคสคอมพิวเตอร์ใสเน้นให้รูปทรงดูล้ำสมัย ขณะเดียวกันได้มาตรฐานสากล ไม่ ว่าจะช่องเสียบอุปกรณ์ ระบบระบายลม หรือจัดวางสายไฟ เป็นต้น โดยทำงานออกแบบร่วมกับวิศวกรคอมพิวเตอร์ และส่งให้ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ทดสอบ เพื่อให้ใช้งานได้จริงอย่างเหมาะสม
ด้านกระบวนการตัดแผ่นอะคลิลิกทั้งหมดใช้เครื่องตัดเลเซอร์ สามารถตัดได้เรียบเนียนสวยงาม ขณะที่การประกอบชิ้นส่วนแผ่นอะครีลิกต่างๆ ใช้วิธีไขนอต แต่ละรูนอตใส่เดือยตอกนำไว้ด้วย ช่วยให้ไขนอตได้แน่นกระชับ สะดวกต่อการถอดประกอบ ไม่เกิดปัญหาเกลียวหวาน

3 Design จากเคสคอมพิวเตอร์ใส “PC FANCLUB”

เบื้องต้นส่งเคสคอมพิวเตอร์ใสนำร่อง 3 ดีไซน์ ได้แก่ 1.Ranang ออกแบบเป็นลักษณะทรงสูง เน้นระบบอากาศรอบทิศทาง ราคาปลีก 4,500 บาท 2.Nude ลักษณะ แยกห้องการทำงานเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกเน้นโชว์การทำงานของ Main board กับส่วนที่สอง เน้นโชว์การทำงานของแผ่นซีดี ฮาร์ดดิกส์ เป็นต้น ราคาปลีก 3,850 บาท และ 3. Manhattan เป็นเคสรูปทรงสากล ราคาปลีก 2,750 บาท ซึ่งแต่ละแบบมีให้เลือกหลายสีสัน

เจ้าของไอเดีย เผยว่า ลงทุนธุรกิจนี้กว่า 7 หลัก ทั้งค่าเครื่องตัดเลเซอร์นำเข้าจากประเทศไต้หวัน วัสดุแผ่นอะคริลิค และพัฒนาสินค้า นับเป็นผู้ประกอบการไทยรายแรกที่ผลิตสินค้านี้ โดยจดสิทธิบัตรสินค้าไว้เรียบร้อยแล้ว กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไว้ที่คนทั่วไปที่ใช้คอมพิวเตอร์ ขณะนี้ กำลังผลิตประมาณ 300 ตัวต่อเดือน ช่องทางตลาดขายผ่าน ร้านอุปกรณ์ไอทีต่างๆ เช่น พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า สาขางามวงศ์วาน และประตูน้ำ เซียร์รังสิต เป็นต้น และออกงานแฟร์เกี่ยวกับไอที

สำหรับราคาเคสคอมพิวเตอร์ใสของ “PC FANCLUB” โดยเฉลี่ยจะสูงกว่าเคสนำเข้าจากจีนแค่ 5% เท่านั้น และถูกกว่าของเกาหลีเกือบเท่าตัว ในมุมมองเจ้าของธุรกิจรายนี้ มองว่า ถือเป็นข้อได้เปรียบ เพราะสินค้าอยู่ระดับกลางของตลาด สามารถเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ใส่ใจเรื่องคุณภาพและดีไซน์ ในระดับราคาที่ไม่ถูกหรือแพงเกินไป

“ผมต้องการสร้างมาตรฐานสินค้า ในประเทศ ด้านที่เป็นผู้ผลิตสินค้าดีไซน์ล้ำสมัย รวมถึงมีคุณภาพและแบรนด์สู้ต่างชาติ ไม่ต้องเลียนแบบ หรือนำสินค้ามาขายอย่างเดียว ซึ่งผมเชื่อว่า เอสเอ็มอีที่จะเทียบชั้นแบรนด์ใหญ่ๆ ได้ ต้องมีไอเดีย มีความสามารถ ปรับปรุงสินค้าของตัวให้มีเอกลักษณ์โดดเด่น” วาสันต์ กล่าว


เคสคอมพิวเตอร์ใส PC FANCLUB
วาสันต์ จันทา เจ้าของผลิตภัณฑ์ เคสคอมพิวเตอร์ใส “PC FANCLUB”

โทร.0-2509-8402 หรือ www.pcfanclub.com

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


“โอ้ แบร์” ตุ๊กตาหมีสัญชาติไทย วัดรอยเท้ามิกกี้เมาท์

ตุ๊กตาหมี Oh! Bear
ตุ๊กตาหมี“โอ้ แบร์” (Oh! Bear)

สวนสนุกระดับโลกอย่าง Disneyland มีตุ๊กตามิกกี้เมาท์ เป็นไอคอนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว และยังเป็นของที่ระลึกที่ขายไลเซ่นส์หรือลิขสิทธิ์ไปทั่วโลก สร้างมูลค่าให้เจ้าของลิขสิทธิ์เป็นจำนวนมหาศาล ทั้งในแง่ของเม็ดเงิน และความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ รวมถึงความผูกพันที่เด็กๆ ทั่วโลกมีต่อมิกกี้เม้าท์ จนกลายเป็นตุ๊กตาในดวงใจอันดับต้นๆ ของโลกมายาวนาน

“นภัทร ปูคะวนัช” เจ้าของบริษัท ออร์แกไนซ์ ไอ-ไนน์ ก็เป็นอีกคนที่ตกหลุมรักตุ๊กตามิกกี้เมาท์ และต้องซื้อติดมือกลับมาทุกครั้งที่มีโอกาสไป Disneyland จากความชื่นชอบ ก็กลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างตุ๊กตาหมีของตัวเองในชื่อแบรนด์ “โอ้ แบร์” (Oh! Bear) และหวังจะปั้นให้ตุ๊กตาหมี Oh! Bear เลือดไทยตัวนี้เจริญรอยตามตุ๊กตานอกอย่างมิกกี้เมาท์

“เราทำบริษัทออร์แกไนซ์ มากว่า 15 ปี ซึ่งเน้นเรื่องการบริการเป็นหลัก ก็เริ่มอยากจะมีโปรดักส์สักตัวที่เป็นของตัวเอง เมื่อ 3 ปีที่แล้วจึงตั้งบริษัท โอ้ แบร์ ขึ้นเพื่อผลิตตุ๊กตาหมีแบรนด์ ‘โอ้ แบร์ ‘ ที่เป็นตุ๊กตาหมี Oh! Bear อย่างแรกก็เพราะชอบอยู่แล้วเป็นการส่วนตัว อย่างที่สองมองว่าตุ๊กตาหมีเป็นของที่ขายกับอิโมชั่น หรืออารมณ์และความรู้สึกของคน ซึ่งของแบบนี้จะขายได้เร็วกว่า”

ด้วยความที่อยู่ในแวดวงออร์แกไนซ์ที่มีคู่แข่งสูงมานาน นภัทรทราบดีว่าการที่โปรดักส์สักตัวจะติดตลาดได้ อย่างแรกที่ต้องทำ คือ มองหาความแตกต่าง ดังนั้น “ตุ๊กตาหมี Oh! Bear” จึงแตกต่างจากตุ๊กหมีแบบมาตรฐานอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่มีทั้งขนนุ่มๆ และสีน้ำตาลที่อบอุ่น แต่เป็นตุ๊กตาหมีที่ไร้ขน แขนขาขยับได้ ทำจากวัสดุหลายชนิด แถมยังแตกต่างกันไป ทั้งสี ขนาด และรูปแบบ


ตุ๊กตาหมี Oh! Bear
“นภัทร ปูคะวนัช” เจ้าของบริษัท ออร์แกไนซ์ ไอ-ไนน์ ตุ๊กตาหมี Oh! Bear

“เนื่องจากเป็นสินค้าที่เล่น กับอิโมชั่นของคนเป็นหลัก จึงต้องมีความหลากหลาย เพราะแต่ละคนมีความชอบที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ความแตกต่างตรงนี้กลายเป็นเสน่ห์ของตุ๊กตาหมี Oh! Bear เช่น Classic Bear เป็น เพียงชนิดเดียวที่มีขน เพราะต้องการคงความเป็นออริจินัลของตุ๊กตาหมี แต่จะมีจุดเด่นตรงที่มีแขน-ขายาวเป็นพิเศษ และมีเท้าโต สามารถขยับได้ทั้งตัว Soft Bear ที่เล่นกับคอนเซ็ปต์ที่ว่า ความรักทำให้คนตาบอด ตุ๊กตาหมีคอลเลคชั่นนี้จึงไม่มีตา มีเพียงจมูกโตๆ บนใบหน้าเท่านั้น Square Bear ตุ๊กตาหมีหน้าเหลี่ยม ตัวเหลี่ยม แม้แต่ใบหูก็ยังเป็นสี่เหลี่ยม หรือ Angle Bear ที่โดดเด่นเรื่องความหลากหลายของขนาดตั้งแต่เล็ก กลาง ใหญ่ หลากหลายทั้งสีสัน และวัสดุที่นำมาใช้”

หลายคนที่เห็นตุ๊กตาหมี “โอ้ แบร์” จึงบอกว่าทั้งแปลก และแรง เพราะมีแต่สีสันเจ็บๆ และลวดลายที่แปลกกว่าตุ๊กตาหมีตัวอื่นๆ วัสดุที่นำมาใช้ มีทั้งหนัง ผ้าสีพื้น และผ้าลวดลายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แนวหวานๆ อย่างลายดอกไม้ ลาย สก็อตสีสันแสบตา หรือลายการ์ตูนที่ดูน่ารัก รวมถึงการเลือกใช้สีของผ้าตามเทศกาลต่างๆ เช่น เทศกาลคริสมาสต์ เลือกใช้โทนสีแดง-เขียว หรือเทศกาลวาเลนไทน์จะเน้นลายหัวใจ และสีโทนแดง ชมพู

และเพื่อเพิ่มความหลากหลาย นภัทร มองไปถึงการใส่คอนเซ็ปต์ที่เน้นดีไซน์เข้าไป อย่างคอลเลคชั่นคนคุก, โจรสลัด หรือแดร็กคิวร่า เป็นตุ๊กตาหมีแนวอาร์ต ที่คิดว่าน่าจะโดนใจเด็กแนวพอสมควร นับเป็นอีกไอเดียแรงๆ ที่มีอยู่ในตุ๊กตาหมีแบรนด์ “โอ้ แบร์”

นอกจากตัวสินค้าที่เด่นในด้านดีไซน์แล้ว ไอเดียในการทำตลาดของตุ๊กตาหมี Oh! Bearก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน

“ตุ๊กตาหมี Oh! Bear ทำตลาดที่ต่างประเทศก่อน ตั้งเป้าไปที่ประเทศในแถบยุโรป และญี่ปุ่นเป็นหลัก ในลักษณะของดีลเลอร์ที่สั่งสินค้าไปขาย ผลตอบรับต้องถือว่าดีมากๆ ปีหนึ่งมีออเดอร์ประมาณ 5 ครั้ง จำนวนสั่งแต่ละครั้งหลายหมื่นตัว คิดเป็นมูลค่าครั้งละประมาณ 2 ล้านบาท ตรงนี้เป็นความตั้งใจอยู่ แล้วที่จะทำตลาดต่างประเทศก่อน ให้แบรนด์“โอ้ แบร์” เริ่มเป็นที่รู้จัก แล้วค่อยย้อนกลับมาทำตลาดในไทย เพราะมองว่าคนไทยไม่อินกับตุ๊กตาหมี อย่างมากก็ซื้อให้กันเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลต่างๆ ผิดกับประเทศในแถบยุโรป หรือญี่ปุ่น ที่มีความผูกพันกับตุ๊กตาหมี เพราะเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเล่นเด็ก จึงทำให้เกิดความคุ้นเคยได้ง่าย”

หลังจากทำตลาดในต่างประเทศได้สัก 2 ปี นภัทร เริ่มหันกลับมาทำตลาดในประเทศบ้าง โดยมองว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ หรือคนที่ชื่นชอบในงานดีไซน์เป็นหลัก โดยเลือกวางขายผ่านร้านค้าที่มีคอนเซ็ปต์ใกล้เคียงกับแบรนด์“โอ้ แบร์” เช่น สยามพารากอน, ดิ เอ็มโพเรียม, ZEN, และร้าน LOFT
“ต้องบอกว่าเราประสบความสำเร็จมากในตลาดต่างประเทศ แต่ตลาดในไทยกลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อย่างแรกเลย คือ เรื่องยอดขายที่ไม่มากอย่างที่เราตั้งเป้าไว้ อย่างต่อมา มีปัญหาในเรื่องของระบบสต็อกสินค้า ทำให้ของหายค่อนข้างบ่อย

ในจุดนี้ถ้าเกิดยอดขาย เป็นไปตามเป้าเราก็อาจจะลงไปแก้ปัญหา เข้าไปจัดการกับเรื่องระบบ แต่ในเมื่อยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า เลยไม่ได้ลงไปจัดการตรงนั้น อีกทั้งการที่เราลงสินค้าหลายๆ จุด คนหาซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เลยกลายเป็น Mass ไป ซึ่งผิดกับความตั้งใจ ที่ต้องการให้สินค้าแต่ละรุ่นมีจำนวนจำกัด และไม่ค่อยซ้ำแบบ

ปัจจุบันนี้จึงถอนสินค้าตุ๊กตาหมี Oh! Bear ออกจากห้างสรรพสินค้าทั้งหมด แล้ววางขายในประเทศเฉพาะที่ร้านค้าปลอดอากรหรือดิวตี้ฟี ของคิง พาวเวอร์ 2 สาขา คือ สาขาซอยรางน้ำ และสาขาสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งผลตอบรับในเรื่องยอดขายก็ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา

ตุ๊กตาหมีไม่ใช่ของจำเป็น แต่เป็นสิ่งของที่ให้กันด้วยใจ หรืออาจจะซื้อเพราะถูกใจในรูปแบบ ซึ่งคนๆ หนึ่ง ไม่น่าจะซื้อตุ๊กตาหมีเกิน 10 ครั้ง แต่นั่นหมายความว่า มันต้องเป็นของใหม่ หรือมีรูปแบบใหม่ๆ เข้ามาตลอด เพื่อให้เตะตาผู้ซื้อ
การที่เรานำตุ๊กตาหมี Oh! Bearมาวางขายใน ดิวตี้ฟี เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว หรือนักธุรกิจที่ต้องเดินทางบ่อย ตุ๊กตาหมีโอ้ แบร์ จึงกลายเป็นของใหม่ตลอดเวลา นักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้ง ก็จะพบกับลวดลาย หรือรูปแบบใหม่ๆ ซึ่งกระตุ้นการซื้อได้มากกว่า”

นอกจากวางขายในประเทศทั้ง 2 จุดแล้ว นภัทร ยังขยายช่องทางมายังกลุ่มลูกค้าองค์กร ที่สั่งทำเป็นของ พรีเมี่ยม อย่างเช่นเครื่องสำอางเอสเต ลอเดอร์, จอนห์นสันแอนด์จอห์นสัน, โมโตโรล่า และธนาคารไทยพาณิชย์ “อันนี้ คือ ความแข็งแรงของแบรนด์ ลูกค้าองค์กรใหญ่ๆ บอกเลยว่าที่เลือกเรา เพราะความเป็นโอ้ แบร์ เขาไม่ได้อยากได้แค่ตุ๊กตาหมี แต่เขาต้องการความเป็นแบรนด์ของเรา

ส่วนในตลาดต่างประเทศ มีประเทศในแถบยุโรปหลายรายที่ติดต่อเข้ามา ต้องการซื้อไลเซ่นส์ ตอนนี้ที่กำลังดีลกันอยู่ก็จะเป็นกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย อยากซื้อแบรนด์โอ้ แบร์ไปเปิดช็อปที่นั่น ภาพรวมที่มองไว้ เมื่อแบรนด์โอ้ แบร์มีความแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยมันจะไม่ใช่แค่ตุ๊กตาหมี แต่สามารถต่อยอดออกไปได้ทุกอย่าง ทั้ง เครื่องเขียน กระเป๋า อุปกรณ์ในห้องน้ำ จะผลิตเป็นอะไรก็ได้ เพราะด้วยคาแร็คเตอร์ของแบรนด์ ที่สามารถนำไปดีไซน์ใช้กับผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง

ตุ๊กตาหมี Oh! Bear
ตุ๊กตาหมี Oh! Bear แบบคลาสสิก

ความคาดหวัง ก็คือ วันหนึ่งเราจะสามารถอยู่ได้อย่างสบายๆ จากการขายแบรนด์ ดูอย่างเครื่องดื่มโค้ก ขวดหนึ่งราคาแค่ 10 บาท แต่มูลค่าของแบรนด์มหาศาล หรืออย่างตุ๊กตามิกกี้เมาท์ ที่มีความเป็นมากว่า 100 ปี กลายเป็นแบรนด์คลาสสิคของโลก และยังเป็นต้นแบบให้เราในการทำธุรกิจด้วย
แต่กว่าจะไปถึงในจุดนั้น ต้องอาศัยการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง และต้องพัฒนาแบรนด์ต่อไปเรื่อยๆ ให้ แบรนด์เติบโตได้อย่างมั่นคง ในอนาคตตุ๊กตาแบรนด์โอ้ แบร์น่าจะไปได้สวย เพราะยังมีช่องทางให้เราแทรกเข้าไปได้อยู่ เพียงแต่ต้องศึกษาตลาดให้ดี เพราะแต่ละประเทศก็มีรายละเอียด และความชอบในดีไซน์ที่ต่างกันไป”

วันนี้ “ตุ๊กตาหมี Oh! Bear” กำลังไปได้สวยในต่างประเทศ ทั้งๆ ที่เปิดตัวได้แค่ 4 ปีเท่านั้น
หากมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าตุ๊กตาสัญชาติไทย ก็มีสิทธิเดินตามรอยเท้าตุ๊กตานอกชื่อดังอย่างมิกกี้เมาท์ได้เช่นกัน

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : นิตยสาร SMEs Plus ฉบับที่ 7 ประจำเดือนสิงหาคม 2553

Read More...


Guitar Art บริการครบเครื่องเรื่องซ่อมกีต้าร์

Guitar Art อาชีพซ่อมกีตาร์
“คุณปุรินทร์ ทรงบรรดิษฐ์” หรือ “ช่างหนิง” ประกอบอาชีพซ่อมกีตาร์ ภายใต้แบรนด์ Guitar Art


ช่างหนิง เล่าถึงที่มาของหนทางที่นำมาสู่อาชีพซ่อมกีตาร์ว่า เดิมทีผมทำงานเป็นช่างสี คลุกคลีอยู่กับอู่ซ่อมรถมาก่อน ประกอบกับเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่กำลังว่างงาน พอดีพี่ชายคือ อาจารย์วิรุฬห์ ทรงบรรดิษฐ์ ซึ่งเป็นช่างทำกีต้าร์คลาสสิคอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย โดยเฉพาะกีต้าร์โปร่ง และคุณลุงซึ่งเก่งเรื่องกีต้าร์ไฟฟ้า ผมก็ไปเรียนรู้การทำกีต้าร์จาก 2 คนนี้

เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่การทำสีกีต้าร์ บอร์ดี้แตก คอหัก เปลี่ยนเฟลต ประกอบเป็นตัวจนเล่นได้ ตั้งสาย แต่งแอ็คชั่น เรียกว่าศึกษาและเรียนรู้ทุกอย่าง รวมถึงการทำระบบอิเลคโทรนิค นอกจากความรู้ที่พี่ชายและคุณลุง สอนแล้วผมก็พยายามศึกษาจากหนังสือต่าง ๆ ด้วย หรือเวลามีวงดนตรีจากเมืองนอกมาเล่นก็พยายามไปเรียนรู้จากนักดนตรีเหล่า นั้น เวลามีการจัดเวิร์คช็อปก็จะเข้าไปร่วมด้วย”

จากจุดเริ่มต้นในวันวานมาจนถึงวันนี้ ช่างหนิงมีธุรกิจอาชีพซ่อมกีตาร์เป็นของตนเองภายใต้ชื่อ “Guitar Art” ธุรกิจที่เปิดให้บริการด้านงานซ่อมกีต้าร์มานานร่วม 6 ปี “Guitar Art เป็นร้านรับซ่อมกีต้าร์ ซ่อมทั้งกีต้าร์โปร่งและกีต้าร์ไฟฟ้าทุกอาการ เช่น กีต้าร์แตก คอหัก เปลี่ยนสีใหม่ เปลี่ยนสาย แต่งแอ็คชั่น ฯลฯ ซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นนักสะสมกีต้าร์ นักเล่นกีต้าร์ รวมถึงคนที่เริ่ม ๆ หัดเล่นกีต้าร์ เรียกว่าทุกกลุ่ม ทุกเพศวัย ทุกวัย”

สนนราคาในการให้บริการนั้น ช่างหนิงบอกว่า ขึ้นอยู่กับอาการ อาทิ กีต้าร์คอหัก ค่าซ่อมจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท ราคานี้รวมทำสีคอให้ด้วย ส่วนบอร์ดี้แตกในส่วนของไม้หน้า ราคาซ่อมประมาณ 2,500 บาท ระยะเวลาในการซ่อมถ้าเป็นการทำสีจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน แต่ถ้ากีต้าร์คอหัก บอร์ดี้แตก จะใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ถึง 1 เดือนจึงจะเสร็จ หากเป็นการแต่งแอ็คชั่นลูกค้าสามารถรอรับได้เลย

นอกจากจะรับซ่อมกีต้าร์แล้ว ช่างหนิงยังเปิดสอนอาชีพซ่อมกีตาร์สำหรับผู้ที่สนใจอีกด้วย โดยมีเงื่อนไขสั้น ๆ ว่า ผู้เรียนต้องมาเรียนรู้ทุก ๆ วัน “นอกจากจะซ่อมกีต้าร์แล้วผมยังรับสอนด้วย โดยมีเงื่อนไขง่าย ๆ คือคุณต้องมาเรียนทุกวัน ไม่ใช่มา ๆ หยุด ๆ และต้องรู้ว่าตัวเองอยากเรียนในลายไหน
บางคนอยากเรียนระบบอีเลคโทรนิคไฟฟ้า เรียนทำสี ซ่อมคอกีต้าร์ที่หัก บอร์ดี้แตก อาการเหล่านี้จะใช้ระยะเวลาในการเรียนประมาณ 1 เดือนก็สามารถทำเป็นแล้ว แต่ต้องมาฝึกฝนและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทุกวันจึงจะเป็นเร็ว ซึ่งใครก็สามารถมาเรียนได้เพราะไม่จำกัดอายุ ไม่จำกัดเพศ แต่ขอให้รักงานด้านนี้จริง ๆ ส่วนเรื่องราคาค่าเล่าเรียนสามารถมาคุยกันได้”

สำหรับผู้ที่อยากมีธุรกิจอาชีพซ่อมกีตาร์เป็น ของตนเอง ช่างหนิง มีคำแนะนำฝากบอกมาว่า “ใครที่กำลังว่างงานอยู่ผมอยากจะบอกว่า อาชีพซ่อมกีตาร์ยังป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเปิดร้านซ่อมเองหรือไปรับงานจากร้านต่าง ๆ หรือรับงานจากบ้านลูกค้าเอากลับมาทำที่บ้านก็ได้

แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องมีวินัยในการคุยงาน เพราะลูกค้าหลายคนไม่รู้จักเรา ฉะนั้น การที่จะไปรับกีต้าร์ที่บ้านของลูกค้า เราต้องสร้างความไว้ใจให้เกิดกับลูกค้า เพราะกีต้าร์บางตัวของลูกค้ามีราคาเป็นแสน ดังนั้น ต้องมีวินัย รู้หน้าที่ และตรงต่อเวลา ถ้าบอกลูกค้าว่าเสร็จวันไหน ก็ต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่พูดออกไป สำคัญมากเรื่องของคำมั่นสัญญาและความซื่อตรง”

ติดต่อเรียนอาชีพซ่อมกีตาร์

ผู้ที่สนใจต้องการใช้บริการซ่อมต้องการเรียนรู้การซ่อมกีต้าร์หรืออยากมี อาชีพซ่อมกีตาร์กับช่าง หนิง สามารถติดต่อไปได้ที่ คุณปุรินทร์ ทรงบรรดิษฐ์ หรือ “ช่างหนิง” เลขที่ 99/75 หมู่ 3 หมู่บ้านจิรทิพย์ ซอย 5 ถนนสุขาภิบาล 5 แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพฯ 10220 โทร.086-711-7594

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : eJobeasy.com

Read More...


สถานการณ์น้ำท่วมของจังหวัดชัยนาท กันยายน 2554

ถ่ายเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2554 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ บริเวณถนนตั้งแต่หน้าจวนผู้ว่าฯ เรื่อยไปจนถึง บริเวณเขื่อนเรียงหิน หน้าศาลากลางจังหวัดชัยนาท




















































ถ่ายเมื่อเวลา 21.55 น. วันที่ 21 กันยายน 2554 เขตพื้นที่ ตำบลท่าชัย









ภาพน้ำท่วมบ้าน ในเขตพื้นที่ อำเภอมโนรมย์







ของบริจาคที่นำไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดชัยนาท ณ บริษัท อีซูซุ ชัยนาท จำกัด












ติตตามสถานการณ์น้ำท่วมของจังหวัดชัยนาท ต่อไป

Read More...


กระเป๋าหนัง'วัสดุสังเคราะห์...ขายลื่น!!


กระเป๋า“ ที่เป็นงานแฮนด์เมด ที่ใช้ ’หนังสังเคราะห์“ เป็นวัสดุแทนหนังจริง โดยมีการออกแบบดีไซน์ตามแฟชั่น  ใช้ประโยชน์ได้เยอะ เป็นอีกหนึ่งงานที่ได้รับความนิยมจากลูกค้า ด้วยดีไซน์ทันสมัย ราคาไม่สูง ดังนั้น สินค้าประเภทนี้ก็สร้างรายได้ให้กับผู้ทำได้อย่างดี เป็นอีกอาชีพที่น่าสนใจ ซึ่งทีม ’ช่องทางทำกิน“ ก็มีกรณีศึกษามานำเสนอ...
                     • • • •
ชาคริต พงษ์สุพจน์ ซึ่งออกแบบตัดเย็บกระเป๋าขายมาได้ประมาณ  1 ปี เล่าว่า เรียนจบมาทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า หลังจากที่เรียนจบก็เข้าทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ แต่ช่วงนั้นมีคนรู้จักขายของพวกกิฟต์ช็อปตามตลาดนัด ซึ่งในช่วงนั้นขายดีมาก รายได้ต่อวันเยอะ ซึ่งตนเห็นแล้วก็คิดว่าน่าจะไปได้ดีในการค้าขายประกอบกับเริ่มเบื่อ ๆ กับการทำงานประจำอยู่แล้ว จึงออกจากงานประจำมาขายของตามตลาดนัด
   
ช่วงแรก ๆ ก็ขายดี แต่มาระยะหลังเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี ของขายยากขึ้น จึงต้องมองหางานอื่นมาขายเพิ่ม ซึ่งก็ได้รับกระเป๋าแฟชั่นผู้หญิงมาขายเพิ่มเติม และตอนหลังย้ายเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯก็ยังวิ่งขายกระเป๋าตามตลาดนัดอยู่ โดยรับกระเป๋าจากสำเพ็งมาขาย แต่พอเจอวิกฤติช่วงที่มีม็อบ ทำให้ของขายยาก ตอนนั้นก็มานั่งคิดว่าจะทำยังไงที่จะขายให้ได้กำไรเยอะขึ้น ก็คิดว่าถ้าตัดเย็บเองน่าจะลดต้นทุนและได้กำไรเยอะขึ้น จึงตัดสินใจทดลองหัดเย็บกระเป๋าขายเองเสียเลย
   
“เริ่มแรกจำได้ว่ามีเงินทุนอยู่ประมาณ 7,000 บาท ก็ไปขอซื้อจักรอุตสาหกรรมราคา 7,500 บาท แต่ซื้อแบบผ่อน ก็หัดเย็บเองทั้งที่ไม่มีความรู้มาก่อน เริ่มจากแกะแบบกระเป๋าทีละชิ้นเพื่อดูแบบ ก็ทำให้พอจะรู้ว่าชิ้นไหนที่แกะออกได้ก่อนก็จะเป็นชิ้นที่เย็บหลัง ก็หัดเย็บอยู่ประมาณ 3-4 วัน จนพอทำได้ดี จากนั้นก็เริ่มออกแบบแล้วเย็บออกจำหน่าย”
   
หนังที่ใช้จะใช้เป็น หนังพียู เป็น หนังสังเคราะห์ ซึ่งมีราคาถูกกว่าหนังแท้ เหมาะแก่การเริ่มลงทุนเพราะมีต้นทุนที่ไม่สูงมาก เพียงแต่ต้องออกแบบดีไซน์ให้กระเป๋าดูสวย และก็เน้นตัดออกมาให้เป็นไซซ์ใหญ่ มีประโยชน์ใช้สอยเยอะ จะทำให้ขายได้ง่าย ที่สำคัญเมื่อทุนการทำต่ำก็ต้องขายในราคาที่ไม่สูงมาก จึงจะขายง่าย ลูกค้าตลาดล่างมีกำลังซื้อ
   
การออกแบบนั้น ชาคริตบอกว่า ก็จะดูจากอินเทอร์เน็ต แล้วก็ดัดแปลง การตัดนั้นก็ต้องดูด้วยว่าแบบไหนโดนใจลูกค้า โดยทดลองตัดออกมาขายดูก่อนจำนวนน้อย ๆ ถ้าของออกเร็วขายได้ง่ายก็เพิ่มจำนวน แต่ถ้าแบบไหนขายยากก็จะไม่ตัดเพิ่ม ซึ่งสำหรับตนเองนั้นในช่วงแรกเนื่องจากเป็นงานที่ตัดเย็บเอง ก็สามารถตัดได้ประมาณ 40 ใบต่อสัปดาห์ แต่ช่วงหลัง ๆ ซึ่งเริ่มได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากขึ้น ก็เริ่มขยายโดยจะตัดแพตเทิร์นแล้วนำไปจ้างช่างเย็บ ก็จะได้ 100 ใบต่อสัปดาห์ โดยค่าจ้างช่างก็จะอยู่ที่ประมาณ 40-50 บาทต่อใบ
   
อุปกรณ์ที่ต้องมีในการทำกระเป๋าหนังสังเคราะห์ หลัก ๆ ก็มี จักรอุตสาหกรรม, ด้าย, กระดาษแข็ง, ดินสอ, กรรไกร วัสดุที่ใช้ทำก็จะเป็นหนังพียู เป็นหนังสังเคราะห์ ส่วนผ้าที่ใช้ทำซับในจะมีทั้งที่เป็น ผ้ากำมะหยี่ และ ผ้าสบันบอน
   
วัสดุอย่างหนังสังเคราะห์ส่วนใหญ่จะใช้เป็นสีดำหรือสีน้ำตาล เพราะเวลาทำกระเป๋าออกมาแล้วจะขายง่ายกว่าสีอื่น ๆ ซึ่งหนังสังเคราะห์นี้สามารถหาซื้อได้ที่ย่านวงเวียนใหญ่
   
ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการออกแบบรูปทรงกระเป๋าตามที่ต้องการ จากนั้นก็วาดเป็นแพตเทิร์นลงกระดาษแข็ง แล้วก็ตัดแพตเทิร์นเป็นชิ้น ๆ ออกมา จากนั้นก็นำแพตเทิร์นไปวางทาบบนแผ่นหนังสังเคราะห์ ใช้ดินสอขีดตามแพตเทิร์น เมื่อวาดแพตเทิร์นลงบนหนังสังเคราะห์ที่จะใช้เรียบร้อยทุกชิ้นแล้ว ก็ทำการตัดออกมาเป็นชิ้น ๆ ตามแบบ
   
หลังจากที่ตัดแพตเทิร์นจากหนังสังเคราะห์เสร็จแล้ว ก็มาทำการวาดแบบแพตเทิร์นลงบนผ้าที่จะใช้ทำซับในของกระเป๋า จะใช้ผ้ากำมะหยี่หรือผ้าสบันบอนก็แล้วแต่จะเลือกใช้ วาดเสร็จก็ตัดตามแบบ
   
เมื่อได้แพตเทิร์นครบทุกชิ้นแล้ว ก็นำแพตเทิร์นที่เป็นหนังสังเคราะห์มาประกอบเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ทำการเย็บด้วยจักรให้เป็นรูปทรงกระเป๋าตามแบบที่เราออกแบบไว้ เย็บเรียบร้อยก็มาทำการเย็บผ้าซับในให้เป็นทรงรูปกระเป๋า เมื่อได้ทั้งกระเป๋าและผ้าซับในแล้ว ก็นำผ้าซับในมาใส่ลงในกระเป๋าหนัง แล้วทำการเย็บด้านบนขอบกระเป๋าให้ผ้าซับในและกระเป๋าติดกัน โดยเก็บขอบให้เรียบร้อย จากนั้นก็มาเย็บหูกระเป๋า ติดซิป และก็ตกแต่งภายนอกตามแบบที่เราต้องการ ก็จะได้เป็นกระเป๋าที่พร้อมนำออกจำหน่ายกระเป๋าหนังสังเคราะห์ของชาคริต มีประมาณ 6-7 แบบ ราคาขายอยู่ที่ 250-300 บาท ทุนวัสดุตกประมาณ 130-170 บาทต่อใบ ซึ่งก็แล้วแต่ขนาดและแบบกระเป๋า ถ้าใครซื้อตั้งแต่ 3 ใบขึ้นไปก็จะได้ราคาที่ถูกลง เป็นราคาส่ง
   
“ร้านที่ขายนั้น นอกจากจะมีกระเป๋าที่เย็บเองแล้ว ก็ยังรับกระเป๋าจากที่อื่นมาขายเสริมอีกด้วย แต่เราจะเลือกเอามาวางขายเฉพาะงานที่เป็นแนวเดียวกับที่เราทำอยู่” ชาคริตกล่าว
                                  • • • •
สำหรับผู้ที่สนใจ ’กระเป๋าหนังสังเคราะห์“ ที่เป็นงานแฮนด์เมดของชาคริต ก็แวะไปดูกันได้ โดยเขาขายอยู่ที่ตลาดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันเสาร์และอาทิตย์ และที่สวนจตุจักร เบอร์โทรศัพท์ของชาคริตคือ  08-6580-5826 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ เกี่ยวกับกระเป๋า ที่แม้จะไม่ได้ใช้หนังแท้ ๆ แต่ก็ทำเงินแท้ ๆ ได้น่าสนใจ!!.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ เรื่อง-ภาพ
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ :http://www.dailynews.co.th/

Read More...


หนอนนก เพาะเลี้ยงง่าย ลงทุนน้อย รายได้ดี

หนอนนก เพาะเลี้ยงง่าย ลงทุนน้อย รายได้ดี

เมื่อวันที่ 9-11 พฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมา
สำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร (สวป.) กรมวิชาการเกษตร
ได้จัดงาน ในหัวข้อ "งานวิจัยใช้ได้จริง" ขึ้น กิจกรรมภายในงานมีการจัดแสดงและสาธิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ
นิทรรศการ ผลิตภัณฑ์แปรรูป ผลผลิตเกษตรที่ปลอดโรคและผู้บริโภคปลอดภัย
หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานและบริษัทต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ งานดังกล่าวได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี

โปรแกรมรายการสาธิตการแปรรูป ผลิตภัณฑ์ในงานมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ
และสามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพหารายได้ได้ทันที และมีรายการหนึ่งเป็นที่สนใจไม่แพ้รายการอื่นคือ
เรื่อง "รวยด้วยหนอนนก" เป็นเรื่องที่กำลังได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย ในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพหลายสาขา
เพราะเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สามารถทำเงินได้อย่างงดงาม







หนอนนก เป็นชื่อสามัญที่เรียกสำหรับหนอนของแมลงปีกแข็งชนิด Tenebrio molitor
หรือในชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Mealworm ปัจจุบันนิยมเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ
โดยมีความสำคัญใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงสวยงาม เช่น ปลาสวยงาม
นกสวยงาม สัตว์เลื้อยคลาน รวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กบางชนิด เช่น แฮมสเตอร์ หรือกระรอก
อีกทั้งเกษตรกรหรือผู้สนใจทั่วไปยังสามารถเพาะเลี้ยงหนอนนกได้เอง เพราะมีต้นทุนต่ำ เลี้ยงง่าย
ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารเลี้ยงสัตว์เหล่านั้นได้

กลุ่มวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว สำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
และแปรรูปผลผลิตเกษตร กรมวิชาการเกษตร เป็นหน่วยงานที่ให้บริการด้านคำแนะนำ ให้ความรู้ และอบรม
วิจัย พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ และยังเป็นหน่วยงานที่จัดให้ความรู้ อบรม
เทคนิคการเพาะเลี้ยง และขยายพันธุ์หนอนนกให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจทั่วไป

คุณอัจฉรา เพชรโชติ นักวิชาการเกษตรปฏิบัติการ เป็นบุคคลหนึ่งในทีมกลุ่มวิจัยฯ ได้ให้ข้อมูลว่า
ด้วงหนอนนก (Yellow mealworm) เป็นแมลงที่ชอบทำลายเมล็ดแตก ผลิตภัณฑ์จากธัญพืชและซากแมลง
มีขนาดลำตัว 12.0-16.0 มิลลิเมตร มีรูปร่างตัวเต็มวัยสีน้ำตาลเข้ม ลำตัวแบน
ตัวหนอนสีเหลืองอมน้ำตาล รูปทรงกระบอก

แมลงชนิดนี้เป็นแมลงที่ใหญ่ที่สุดของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ตัวเต็มวัยเพศเมีย วางไข่ประมาณ 500 ฟอง
ระยะไข่ 7 วัน ระยะหนอน 90 วัน ระยะดักแด้ 7 วัน ตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 2-3 เดือน
ระยะเจริญเติบโตประมาณ 3 เดือน มักพบมากในเขตอบอุ่นและมีความทนทานต่ออากาศหนาว
โดยมีศัตรูธรรมชาติคือ ตัวห้ำ ได้แก่ Amphibolus venator

"หนอนนก ให้คุณค่าทางอาหารค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับสัตว์ปีกทุกชนิด รวมถึงปลาสวยงามต่างๆ
เพราะหนอนนกให้โปรตีนสูงในบรรดาธาตุอาหาร รองลงมาจะเป็นไขมัน
นอกจากนั้น ยังมีแร่ธาตุที่สะสมในตัวหนอนอีกหลายอย่าง

อันที่จริง ด้วงหนอนนก เป็นแมลงศัตรูชนิดหนึ่งของผลิตผลเกษตร และมันใช้ผลิตผลเกษตรเป็นอาหาร
แต่ปัจจุบันมีการนำหนอนนกมาเลี้ยงเชิงธุรกิจบ้าง หรือเพื่อใช้ในการให้อาหารแก่สัตว์ จึงนิยมใช้อาหารเลี้ยงแทน
จริงๆ มันบินได้ แต่ไม่ค่อยบิน ชอบอุณหภูมิที่ต่ำๆ แต่โดยทั่วไปเกษตรกรจะนำไปเลี้ยงที่สวน ในสภาพอากาศปกติ"
คุณอัจฉรา กล่าว










นักวิชาการยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า วงจรชีวิตของด้วงหนอนนก มี 4 ระยะ
อันได้แก่ หนึ่ง ตัวเต็มวัย ที่เป็นพ่อ-แม่พันธุ์ จากนั้นสอง จึงวางไข่ แล้วสาม เป็นหนอน และสี่ เป็นดักแด้

"ช่วงเวลาที่ใช้ประโยชน์คือระยะที่เป็นหนอน จะเป็นช่วงอายุประมาณ 2 เดือนครึ่ง ที่นำไปใช้เป็นอาหารสัตว์
แต่ถ้าช่วงใดที่ของขาดตลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูร้อน และมีความจำเป็นต้องรีบใช้ อาจเหลือเพียง 1 เดือนครึ่งก็ได้" คุณอัจฉรา บอก


การเตรียมอุปกรณ์
1. ถาดอะลูมิเนียม กว้าง 11 นิ้ว ยาว 15 นิ้ว ขอบสูง 2-3 นิ้ว
2. หรือกล่องพลาสติค ขนาดกว้าง 8 นิ้ว ยาว 11.5 นิ้ว ขอบสูง 4 นิ้ว
3. สำลี หรือผ้าขาวบาง เพื่อใช้ชุบน้ำ
4. ชั้นเลี้ยงแมลงสำหรับวางถาด
5. อาหารไก่
6. น้ำผึ้ง
7. ตะแกรงสำหรับร่อนตัวหนอน


ขั้นตอนการเลี้ยง


1. นำอาหารไก่ปริมาณ 500 กรัม เทลงในถาดอะลูมิเนียม จากนั้นให้ใส่หนอนนกลงไป ประมาณ 300 ตัว
และใช้สำลีชุบน้ำหรือน้ำผึ้งผสมน้ำให้ชุ่มพอหมาด วางลงกลางถาด (หมั่นเติมน้ำเป็นระยะ อย่าให้น้ำแห้ง)
แล้วปิดด้วยตาข่ายมุ้ง ควรวางบนชั้นสำหรับเลี้ยงแมลงหรือเลี้ยงในห้องที่มีมุ้งลวด
การเติมอาหารควรเติมทุก 1-2 สัปดาห์

2. เมื่อเลี้ยงได้ระยะหนึ่ง หนอนนกจะเข้าเป็นดักแด้ ซึ่งในช่วงนี้จะไม่กินอาหาร ประมาณ 5-7 วัน
ให้แยกดักแด้ออกมาใส่ลงในถาดใหม่
เมื่อดักแด้เปลี่ยนเป็นตัวเต็มวัย ให้แยกไปไว้ในถาดที่มีอาหารเหมือนกับการเริ่มเลี้ยงหนอน
โดยใส่ตัวเต็มวัยถาดละ 100-150 คู่ จากนั้น ตัวเต็มวัยจะเริ่มผสมพันธุ์
หลังจากที่ออกจากดักแด้ ประมาณ 7 วัน ตัวเมียจะวางไข่ ตัวละ 1-2 ฟอง ต่อวัน อายุการวางไข่ 40-50 วัน

3. หลังจากตัวเต็มวัยวางไข่แล้ว 7 วัน ให้แยกตัวเต็มวัยออกจากถาดเดิม นำไปเลี้ยงในอาหารถาดใหม่
เพื่อให้ตัวเต็มวัยวางไข่และเจริญเติบโตเป็นตัวหนอน ซึ่งจะใช้เวลา 5-7 วัน
ระยะหนอนจะลอกคราบ 10-14 ครั้ง หรือมีอายุ 75-90 วัน ทั้งนี้ ช่วงเวลาสำหรับนำไปขายที่ประมาณ 60 วัน

ให้เลี้ยงขยายพันธุ์ไปเรื่อยๆ ตามวิธีที่กล่าวมาข้างต้น
สำหรับการคัดเลือกตัวเต็มวัยเพื่อการวางไข่ ควรเลือกหนอนที่มีขนาดใหญ่และมีสุขภาพแข็งแรง
ทั้งนี้ ให้สังเกตจากการเคลื่อนไหวอย่างว่องไว พร้อมกับแยกใส่ถาดอาหารใหม่ทุก 1-2 สัปดาห์
เพื่อให้ได้ไข่หรือหนอนที่มีขนาดใกล้เคียงกันเป็นชุดๆ

การเลี้ยงในปัจจุบัน ให้ใช้อาหารไก่รุ่นในการเพาะเลี้ยง
เพราะอาหารไก่ให้สารอาหารที่ดีต่อหนอนนกมากกว่ารำข้าวสาลี หรือรำละเอียดที่เคยใช้ในอดีต
แต่อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้เลี้ยงที่จะหามาได้ง่าย และประหยัดค่าใช้จ่ายเป็นหลัก

"ข้อควรระวังสำหรับอาหารไก่ที่นำมาเลี้ยงคือ
ต้องตรวจดูมด มอด หรือแมลงอื่นๆ ที่อาจจะเข้ามาปะปนกับอาหารไก่ได้ และควรกำจัดเสียก่อน
เพราะสิ่งเหล่านั้นจะเป็นศัตรูของหนอนนก
อีกทั้งยังมีพวกจิ้งจก หนู และแมลงสาบ ที่ควรระวัง พร้อมหาทางป้องกันด้วย
ข้อแนะนำ สำหรับคนที่เพิ่งเลี้ยงและไม่ต้องการใช้พื้นที่มาก
ก็ให้นำอาหารไก่ที่จะใช้ไปใส่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นไว้อย่างน้อย 3 วัน
เพื่อเป็นการกำจัดมด มอด และแมลงอื่นๆ ก่อน เพราะความเย็นจัดจะช่วยกำจัดแมลงเหล่านั้นได้
เมื่อครบกำหนดให้นำออกจากตู้เย็น นำมาผึ่งไว้ด้านนอกที่อุณหภูมิปกติ อีกประมาณ 2 วัน
เพื่อไล่ความชื้นออกไป เพราะหัวใจการเลี้ยงที่สำคัญคือความชื้นและความสะอาด" นักวิชาการให้รายละเอียด

ส่วนการให้น้ำหนอนนก
ให้ใช้ผ้าขาว ตัดขนาดเท่าฝ่ามือ แล้วฉีดพ่นน้ำใส่ผ้าพอหมาดๆ (อย่าพ่นใกล้หนอนและอาหาร)
แล้วนำผ้าที่พ่นน้ำวางลงบนถาดที่มีหนอน เพราะเมื่อหนอนกินอาหารแล้วจะดูดน้ำจากผ้า
หากไม่ใช้ผ้าก็อาจใช้สำลีแทน โดยใช้วิธีการเดียวกัน ทั้งนี้ จะให้น้ำเพียงวันละครั้งเท่านั้น

นอกจากผ้าและสำลีแล้ว หากทำเป็นฟาร์มขนาดใหญ่อาจใช้ผักหรือผลไม้ได้
แต่ต้องแน่ใจว่าผักและผลไม้เหล่านั้นปลอดจากสารพิษ
โดยการนำไปล้างให้สะอาดแล้วปล่อยให้สะเด็ดน้ำ ก่อนนำไปวางบนภาชนะที่เลี้ยง หนอน
ข้อควรระวังคือ ต้องหมั่นเปลี่ยนบ่อยๆ เพราะถ้าผลไม้หรือผักเน่าจะมีเชื้อรา ไร และแบคทีเรีย


การให้อาหารหนอน
ต้องหมั่นตรวจดูว่า พร่องลงบ้างหรือไม่ หากพร่องให้ใช้กระชอนตักหนอนและอาหารที่เหลือขึ้นมาให้หมด
แล้วย้ายไปใส่ไว้ในถาดใบใหม่ที่ใส่อาหารเตรียมไว้แล้ว
สำหรับถาดเดิมที่ย้ายหนอนออกมาจะพบว่า มีมูลหนอนอยู่ อย่าทิ้ง...ให้นำไปใส่ต้นไม้
เพราะเป็นปุ๋ยอย่างดีเลยทีเดียว บางแห่งที่เลี้ยงหนอนมากๆ เขาจะนำมูลหนอนไปบรรจุถุงขาย ในราคา 10 บาท

นักวิชาการแนะนำว่า การเลี้ยงหนอนไปนานๆ ในปริมาณมากๆ อย่าให้ผสมพันธุ์กันเองอยู่ตลอด
เพราะการผสมพันธุ์กันเองอาจทำให้พันธุ์ที่ได้รุ่นต่อๆ มาขาดความแข็งแรง ไม่ค่อยสมบูรณ์
ดังนั้น จึงควรนำพันธุ์จากที่ต่างกันหรือที่ไกลๆ มาผสมกันเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น นักวิชาการคนเดิมยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า
ถ้าเป็นมือใหม่ และประสงค์จะเลี้ยงหนอนนกเพื่อเป็นการหารายได้เสริม ควรเริ่มต้นแบบประหยัดก่อน
อย่าเพิ่งทุ่มเทลงทุนจำนวนมาก เมื่อทำไปได้สักระยะหนึ่งและเริ่มคุ้นเคย จนสามารถควบคุมงานทั้งหมดได้แล้ว
จึงค่อยลงทุนเพิ่มในภายหลัง


การลงทุนในการเลี้ยงหนอนนก
หากผลิตหนอนนก 1 กิโลกรัม จะใช้ต้นทุนประมาณ 70 บาท และใช้เวลาในการผลิต 8-9 สัปดาห์
ส่วนราคาขายในปัจจุบัน (ปี 2553) นิยมขายปลีก ที่ขีดละ 40-80 บาท และกิโลกรัมละ 300-500 บาท

"สำหรับมือใหม่ สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ โดยให้ใช้อุปกรณ์หรือภาชนะที่มีอยู่ในบ้านก่อน
ไม่ว่าจะเป็นลัง กล่อง หรือถาดพลาสติคเก่าๆ สามารถนำมาใช้ได้ทั้งนั้น
หากประสบความสำเร็จทำจนเกิดความชำนาญแล้ว มีตลาดรองรับแล้ว
ค่อยต่อยอดขยายผลไปซื้ออุปกรณ์หรือภาชนะที่มีขนาดใหญ่ เข้ามาเพิ่มก็ยังไม่สายไป" คุณอัจฉรา กล่าวในที่สุด

อันเนื่องมาจากการเลี้ยงหนอนนกทำได้ง่าย สะดวกไม่ยุ่งยาก ไม่เปลืองสถานที่
จึงทำให้มีผู้สนใจเลี้ยงหนอนนกเพิ่มขึ้น บ้างเลี้ยงเพื่อเป็นรายได้เสริม บ้างเพาะขายเป็นธุรกิจ
บ้างเลี้ยงเพื่อใช้เป็นอาหารของสัตว์ต่างๆ ซึ่งเป็นการลดต้นทุนได้อย่างมาก

ท่านผู้อ่านที่มีความสนใจและประสงค์จะลองเลี้ยงหนอนนก สามารถติดต่อขอรายละเอียดได้ที่
กลุ่มวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว สำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
และแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร จตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทรศัพท์ (02) 579-7813-4


เรื่องโดย ทะนุพงศ์ กุสุมา ณ อยุธยา ta-nu-pong@hotmail.com
คอลัมน์ สัตว์เลี้ยงสวยงาม นิตยสาร เทคโนชาวบ้าน
วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 23 ฉบับที่ 492
ที่มา : http://info.matichon.co.th
ภาพจาก : http://www.hamsteronline.com

Blog นี้รวบรวมบทความอาชีพเสริม ให้กับทุกคนที่คิดว่ามีประโยชน์ มีบางบทความไม่ได้ระบุแหล่งที่มาให้ทราบ และต้องขออภัยที่ไม่ได้ให้เครดิตกับเจ้าของบทความนี้

แนะนำเวปขนมทองม้วนและคุ้กกี้ เชิญแวะชม

banyada

-------------------------------------------------------------------------------------------------


Read More...


ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0










































 
Blogger Tips and TricksLatest Tips And TricksBlogger Tricks
Do it your self,handmade,HandiCraft,งานฝีมือ,อาชีพเสริม,ช่องทางทำเงิน บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.